ประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญหลายประการเกี่ยวกับหนี้สินและสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับบัตรกดเงินสด การชำระหนี้ และอายุความ ประเด็นหลักที่บทความนี้เน้นย้ำ ได้แก่:
การเริ่มนับอายุความ:
บทความอธิบายหลักเกณฑ์การเริ่มนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 193/12 ที่ระบุว่าอายุความจะเริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป.
อายุความทั่วไป 10 ปี: สำหรับสิทธิเรียกร้องที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30.
ตัวอย่างเช่น สัญญากู้เงินที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนไว้ โจทก์เรียกให้ชำระได้โดยพลัน อายุความจึงเริ่มนับแต่วันถัดจากวันทำสัญญา (ฎีกาที่ 8172/2551).
สัญญากู้เงินที่กำหนดให้ชำระดอกเบี้ยทุกเดือน หากไม่ชำระถือว่าผิดสัญญา โจทก์ฟ้องเรียกได้ทันที อายุความ 10 ปีจึงเริ่มนับแต่วันที่ผิดนัดนั้น (ฎีกาที่ 6830/2551).
สัญญากู้กรุงไทยธนวัฏที่กฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี เริ่มนับจากวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ (วันที่ผิดนัดชำระครั้งสุดท้าย) (ฎีกาที่ 5725/2552).
สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุด หรือคำพิพากษาตามยอม ให้มีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 (ฎีกาที่ 1336/2556, ฎีกาที่ 10096/2558).
สัญญาซื้อขายทองคำแท่งที่กำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอน หากไม่ชำระตามกำหนด โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ทันที (ฎีกาที่ 5704/2560).
การชำระหนี้บางส่วนของหนี้ทั้งหมด ถือเป็นการทำให้อายุความสะดุดหยุดลงทั้งหมด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) (ฎีกาที่ 4618/2552).
อายุความเรียกค่าเช่าค้างชำระ 2 ปี เริ่มนับเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับใบแจ้งหนี้ในแต่ละฉบับ (ฎีกาที่ 4618/2552).
อายุความ 5 ปี สำหรับการผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ: สิทธิเรียกร้องเงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ มีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2).
ตัวอย่างเช่น สัญญากู้ยืมเงินที่ตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนเป็นงวดๆ (ฎีกาที่ 1152/2552).
หนังสือรับสภาพหนี้ที่กำหนดให้ชำระหนี้เป็นงวดๆ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด (ฎีกาที่ 1692/2551).
สัญญาสินเชื่อส่วนบุคคลแบบชำระขั้นต่ำ มีกำหนดอายุความ 10 ปี: สัญญาสินเชื่อส่วนบุคคลที่กำหนดให้ชำระเพียงยอดขั้นต่ำร้อยละ 5 ของยอดหนี้ในแต่ละเดือน ไม่ถือว่าเป็นการผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 (ฎีกาที่ 158/2565).
การฟ้องคดีโดยไม่สุจริต:
หากโจทก์ (เจ้าหนี้) ทอดเวลาเนิ่นช้าในการนำคดีมาฟ้องเป็นเวลาหลายปี (เช่น 5 ปีเศษ หรือเกือบ 18 ปี) จนเป็นเหตุให้ภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยสูงเกินกว่าเงินต้นที่ค้างชำระอย่างมาก การกระทำดังกล่าวอาจนับเป็นการ ใช้สิทธิไม่สุจริต และไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม.
ในกรณีเช่นนี้ ศาลอาจใช้ดุลพินิจ ไม่กำหนดให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้อง หรือไม่ได้รับดอกเบี้ยทั้งอัตราปกติและดอกเบี้ยผิดนัดของหนี้เงินต้นเลย แม้โจทก์จะมีสิทธิได้รับตามกฎหมายก็ตาม.
เหตุผลคือเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของผู้บริโภค ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 ซึ่งมุ่งคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบเกินควร (ฎีกาที่ 610/2567, ฎีกาที่ 4580/2562).
ค่าบริการและค่าธรรมเนียมถือเป็นดอกเบี้ย:
แม้จะใช้ชื่อเรียกแตกต่างออกไป เช่น ค่าบริการครั้งแรกและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน แต่ผลประโยชน์ดังกล่าวก็เป็นค่าตอบแทนที่จำเลยต้องใช้ให้แก่โจทก์จากการได้กู้ยืมเงิน.
ดังนั้น เงินที่โจทก์คิดเป็นค่าบริการครั้งแรกและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินดังกล่าวจึงเป็น ดอกเบี้ยของสัญญากู้ยืมเงิน (ฎีกาที่ 5298/2551 (ป)).
อัตราดอกเบี้ยต้องกำหนดชัดแจ้ง:
หากสัญญาไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยชัดแจ้ง จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ซึ่งให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี (ฎีกาที่ 1608/2552).
อายุความดอกเบี้ยค้างชำระ:
สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างชำระมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1).
คำว่า "ดอกเบี้ยค้างชำระ" ที่มีอายุความ 5 ปีนี้ หมายถึง ดอกเบี้ยที่ค้างชำระอยู่ก่อนวันฟ้องคดี (ฎีกาที่ 4228/2555).
หากจำเลยต้องการต่อสู้เรื่องอายุความดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 5 ปี จำเลย จะต้องยกข้อต่อสู้อายุความนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ มิฉะนั้นศาลจะไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเรื่องนี้ (ฎีกาที่ 125/2554, ฎีกาที่ 4563/2557).