ค่าขาดราคา: หนี้ที่เกิดจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หลังเลิกสัญญา
"ค่าขาดราคา" คือ หนี้ประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่สัญญาเช่าซื้อได้สิ้นสุดลงแล้ว และผู้ให้เช่าซื้อ (มักจะเป็นบริษัทไฟแนนซ์) ได้นำรถที่เช่าซื้อกลับคืนมาครอบครอง จากนั้นนำรถคันดังกล่าวออกขายทอดตลาด หากราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้น ไม่เพียงพอหรือไม่คุ้มกับยอดหนี้คงเหลือ ที่ผู้เช่าซื้อยังค้างชำระอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ยอดเงินส่วนต่างที่ยังขาดอยู่นี้เองที่เรียกว่า "ค่าขาดราคา"
ที่มาและลักษณะของค่าขาดราคา ปัญหาค่าขาดราคาจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อจนนำไปสู่การเลิกสัญญา หลังจากที่ผู้ให้เช่าซื้อได้รถคืน ไม่ว่าจะเป็นจากการติดตามยึดคืนหรือผู้เช่าซื้อนำมาคืนเอง ในอดีตอาจมีความสับสนว่าค่าขาดราคาหมายถึงค่าขาดราคาจากราคารถที่แท้จริง หรือจากราคาตามสัญญาเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมด อย่างไรก็ตาม, แนวคำพิพากษาของศาลฎีกาได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนแล้วว่า ค่าขาดราคาที่ผู้ให้เช่าซื้อสามารถเรียกได้คือ "ค่าขาดราคาไปจากราคารถที่แท้จริง" ณ ขณะที่สัญญาเลิกกัน มิใช่ค่าขาดราคาไปจากราคาตามสัญญาเช่าซื้อที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด การวินิจฉัยเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้เช่าซื้อ เนื่องจากเมื่อถูกยึดรถไปแล้วก็ไม่ควรต้องรับผิดชอบค่าเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดอีก.
การพิจารณาของศาล (เบี้ยปรับ) ข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบค่าขาดราคาในส่วนที่เหลือจากการขายทอดตลาดนั้น ศาลฎีกาถือว่ามีลักษณะเป็น "เบี้ยปรับ" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หรือ 383 ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงมีอำนาจในการ ปรับลดค่าขาดราคาลงให้เป็นจำนวนที่พอสมควรได้ หากเห็นว่าสูงเกินส่วน
ในการพิจารณาปรับลดค่าขาดราคานั้น ศาลจะคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น:
- สภาพของรถขณะที่ยึดคืนหรือส่งมอบ (เช่น เป็นรถใหม่หรือมือสอง, ระยะทางที่วิ่ง, สภาพโดยรวม)
- ความเสื่อมราคาตามอายุการใช้งาน
- การที่ขายทอดตลาดไปในราคาต่ำเกินสมควรหรือไม่
- เงินลงทุนของผู้ให้เช่าซื้อ หักกับเงินที่ผู้เช่าซื้อผ่อนชำระมาแล้ว
- ความเสียหายในเชิงธุรกิจของผู้ให้เช่าซื้อ และผลประโยชน์ที่ผู้ให้เช่าซื้อควรได้รับตามสมควร
ความแตกต่างจากค่าขาดประโยชน์ ค่าขาดราคาเป็นคนละส่วนกับ "ค่าขาดประโยชน์" ซึ่งหมายถึงค่าเสียหายจากการที่ผู้เช่าซื้อยังคงใช้รถอยู่ในระหว่างที่ผิดนัดชำระก่อนที่ผู้ให้เช่าซื้อจะได้รถคืน ค่าขาดประโยชน์นี้ก็ถูกพิจารณาเป็นเบี้ยปรับเช่นเดียวกัน.
อายุความสำหรับการฟ้องเรียกเก็บ สำหรับการฟ้องเรียกเก็บหนี้ค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติเรื่องอายุความทางแพ่งที่ยาวที่สุด คือ 10 ปี มาบังคับใช้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
จุดเริ่มต้นของการนับอายุความ จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ซึ่งเป็นวันที่สามารถบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 ไม่ใช่วันที่มีการประมูลขายทอดตลาดรถที่เช่าซื้อ ยกตัวอย่างเช่น ในคดีหนึ่งที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2539 แต่โจทก์มาฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2550 ซึ่งเกินระยะเวลา 10 ปี ทำให้ฟ้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าขาดราคานั้นขาดอายุความไปแล้ว.
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาและการคุ้มครองผู้บริโภค เดิมที แนวคำพิพากษาศาลฎีกามักจะนำหลักเรื่อง "การเลิกสัญญาโดยปริยาย" มาปรับใช้ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อได้รับรถคืน (ไม่ว่าจะจากการยึดคืนหรือผู้เช่าซื้อส่งมอบคืน) หากการเลิกสัญญาไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อก็อาจไม่อาจเรียกค่าขาดราคาตามสัญญาได้ แนวทางนี้ถูกมองว่าเป็นการคุ้มครองผู้เช่าซื้อ แต่ก็ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและอาจเป็นแรงจูงใจด้านลบแก่ผู้เช่าซื้อที่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายหากคืนรถ.
อย่างไรก็ตาม, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาใหม่ (เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3965/2564 (ประชุมใหญ่), 3252/2566, 4689/2566) ได้ปรับเปลี่ยนแนวทาง โดยพิจารณาว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและมีพฤติการณ์บ่งชี้ชัดเจนว่าจะไม่ชำระหนี้ ผู้เช่าซื้อย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งรวมถึงค่าขาดราคา แม้ว่าศาลจะยังคงมีอำนาจปรับลดค่าขาดราคาลงได้หากเห็นว่าเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน แนวทางใหม่นี้ถูกมองว่าสอดคล้องกับหลักความรับผิดตามสัญญาและแนวทางของกฎหมายต่างประเทศ (เช่น สหราชอาณาจักรและมาเลเซีย) ที่ผู้เช่าซื้อยังคงต้องรับผิดชอบ.
ข้อเสนอแนะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มเติม บทความยังเสนอแนะว่า กฎหมายควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เช่าซื้อมากยิ่งขึ้น โดยอาจพิจารณากำหนดให้:
- การตีราคามูลค่ารถที่นำไปหักลบเพื่อหาค่าขาดราคานั้น ควรพิจารณาจาก "ราคารถ ณ วันที่ผู้ให้เช่าซื้อกลับเข้าครอบครองรถ โดยอ้างอิงจากราคาท้องตลาด" ซึ่งจะช่วยเร่งรัดให้ผู้ให้เช่าซื้อรีบดำเนินการขายทอดตลาดและไม่ปล่อยให้รถเสื่อมราคาลงตามเวลา.
- หากผู้ให้เช่าซื้อฝ่าฝืนไม่ขายรถในราคาท้องตลาดที่ดีที่สุด ผู้ให้เช่าซื้อควรถูกกฎหมายปิดปากให้ยอมรับความสูญเสียจากส่วนต่างที่ขาดไปเอง.
- นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้แก้ไขกฎหมายโดยกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ว่า หากผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อมาเกินกว่ากึ่งหนึ่งของเงินตามสัญญาแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อไม่สามารถกลับเข้าครอบครองรถได้ทันที เว้นแต่จะได้รับคำสั่งศาล หรือมีเหตุฉุกเฉิน (เช่น ผู้เช่าซื้อกำลังยักย้ายทรัพย์สิน) เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้เช่าซื้อที่ได้ชำระเงินมาเป็นจำนวนพอสมควรแล้ว.
โดยสรุปแล้ว "ค่าขาดราคา" คือ ยอดหนี้ส่วนต่างที่เหลือจากการขายทอดตลาดรถเช่าซื้อ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราคาขายไม่คุ้มกับหนี้ที่ค้างชำระ ศาลฎีกาถือว่าเป็นเบี้ยปรับที่สามารถปรับลดได้ และมีอายุความ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่สัญญาเลิกกัน แม้แนวทางคำพิพากษาใหม่จะสอดคล้องกับหลักความรับผิดและกฎหมายต่างประเทศมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีการเสนอแนะให้ปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มความชัดเจนและความเป็นธรรมในการคุ้มครองผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น.
0 Comments
แสดงความคิดเห็น