"ทรัพย์" และ "ทรัพย์สิน"
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กฎหมายลักษณะทรัพย์
เป็นรากฐานสำคัญในการทำความเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่มีต่อวัตถุหรือสิ่งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้
การทำความเข้าใจคำนิยามพื้นฐานอย่าง "ทรัพย์" และ "ทรัพย์สิน" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 137 และ 138 จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
บทความนี้จะสรุปหลักการดังกล่าวพร้อมยกตัวอย่างจากแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาเพื่อประกอบความเข้าใจ
นิยามพื้นฐาน:
ทรัพย์และทรัพย์สิน
1. "ทรัพย์" (ป.พ.พ. มาตรา 137)
ทรัพย์
หมายถึง วัตถุมีรูปร่าง เท่านั้น กล่าวคือ สิ่งที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส
เช่น มองเห็น สัมผัสได้ หรือหยิบจับได้
- ตัวอย่าง: บ้าน,
รถยนต์, โทรศัพท์มือถือ, โต๊ะ, เก้าอี้ เป็นต้น
2. "ทรัพย์สิน" (ป.พ.พ. มาตรา 138)
ทรัพย์สิน
มีความหมายกว้างกว่าทรัพย์ โดยหมายความรวมถึง ทรัพย์ (วัตถุมีรูปร่าง) และ
วัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้
- วัตถุไม่มีรูปร่าง: หมายถึง สิทธิหรือประโยชน์ต่าง ๆ
ที่สามารถตีค่าเป็นเงินได้และมีการหวงกันไว้เป็นของตนเองได้ในทางกฎหมาย
- ตัวอย่าง: สิทธิเรียกร้อง, ลิขสิทธิ์, สิทธิบัตร, เครื่องหมายการค้า, กระแสไฟฟ้า
แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่เสริมความเข้าใจ
ศาลฎีกาได้วางแนววินิจฉัยในหลายกรณีเพื่อตีความและขยายความหมายของ
"ทรัพย์" และ "ทรัพย์สิน"
ให้เข้ากับยุคสมัยและลักษณะเฉพาะของสิ่งต่าง ๆ:
1. ซิมการ์ดเป็นทรัพย์ (ฎีกาที่ 4586/2551)
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ซิมการ์ด เป็น วัตถุมีรูปร่าง จึงจัดเป็น ทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 137 และสามารถเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดฐานรับของโจรได้
แม้ว่าสิทธิในการใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่มาพร้อมซิมการ์ดนั้นจะไม่มีรูปร่าง
แต่ตัวซิมการ์ดเองมีรูปร่างที่จับต้องได้
2. ข้อมูลในแผ่นบันทึกข้อมูลไม่เป็นทรัพย์ (ฎีกาที่ 5161/2547)
ในทางตรงกันข้าม
ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า ข้อมูล (Data) ที่อยู่ในแผ่นบันทึกข้อมูล (เช่น ฮาร์ดดิสก์) นั้น ไม่มีรูปร่าง
และตัวอักษร ภาพ
แผนผังที่แสดงผลออกมาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ถ่ายทอดความหมายของข้อมูล
ไม่ใช่รูปร่างของข้อมูลเอง ดังนั้น ข้อมูลจึง ไม่ถือเป็นทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 137
การคัดลอกข้อมูลจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันมีการบัญญัติ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่างทางกฎหมายในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำต่อข้อมูลโดยตรง
3. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นทั้งทรัพย์และทรัพย์สิน
(ฎีกาที่ 2705/2543)
หนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3) ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ์ในที่ดินนั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะเป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว แต่ก็เป็น วัตถุมีรูปร่าง
จึงเป็น ทรัพย์ ตามมาตรา 137 และด้วยเหตุที่แสดงถึงสิทธิในที่ดินที่
อาจมีราคาและถือเอาได้ จึงเป็น ทรัพย์สิน ตามมาตรา 138 ด้วย
ดังนั้น การหลอกลวงเพื่อให้ได้ไปซึ่ง น.ส.3 จึงอาจเป็นความผิดฐานฉ้อโกงได้
4. สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สิน (ฎีกาที่ 5435/2564 และ
ฎีกาที่ 752 - 780/2554)
- ฎีกาที่
5435/2564 ยืนยันว่า สิทธิการเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
(เช่น แผงค้า) เป็น ทรัพย์สิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 138
เนื่องจากอาจมีราคาและอาจถือเอาได้
ทำให้สามารถโอนสิทธิการเช่าให้แก่บุคคลอื่นได้
และการก่อสร้างอาคารผิดกฎหมายควบคุมอาคารไม่ได้ทำให้สัญญาเช่าเป็นโมฆะโดยผลของกฎหมายเสมอไป
- ฎีกาที่
752 - 780/2554 เสริมว่า สิทธิเรียกร้องเงินค่าเช่าที่ดิน
ก็เป็น ทรัพย์สิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 138 เช่นกัน
เพราะเป็นวัตถุไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและอาจถือเอาได้
และสามารถถูกบังคับคดีได้ หากไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมายเฉพาะ (เช่น
กฎหมายของการท่าเรือแห่งประเทศไทย)
5. เช็คเป็นทรัพย์สินและสามารถเป็นมัดจำได้ (ฎีกาที่ 747/2544)
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
เช็ค แม้จะเป็นตราสารและยังไม่ใช่เงินสดในทันที แต่ก็ถือเป็น ทรัพย์สิน ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 138 เพราะสามารถเรียกเก็บเงินหรือโอนเปลี่ยนมือได้
จึงเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวเอง และสามารถนำมาวางเป็น มัดจำ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377
ได้ แม้จะเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้าก็ตาม หากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
ผู้สั่งจ่ายก็อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้
สรุปหลักการสำคัญ
จากคำนิยามและแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาข้างต้น
สามารถสรุปหลักสำคัญได้ดังนี้:
- ทรัพย์ เน้นที่ความเป็นวัตถุที่มีรูปร่างทางกายภาพ
- ทรัพย์สิน มีความหมายกว้างกว่า
โดยรวมถึงทั้งวัตถุมีรูปร่างและวัตถุไม่มีรูปร่าง แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ ต้องอาจมีราคาและอาจถือเอาได้
- ศาลฎีกาได้ใช้หลักการนี้ในการพิจารณาว่าสิ่งใดถือเป็น
"ทรัพย์" หรือ "ทรัพย์สิน" เพื่อวินิจฉัยคดีต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัญญา การบังคับคดี หรือความผิดทางอาญา
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับใช้กฎหมายให้เข้ากับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
0 Comments
แสดงความคิดเห็น