ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) สิทธิพื้นฐานของประชาชน หรือ "เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล" (Data
Subject) ได้รับการคุ้มครองอย่างชัดเจน
เพื่อให้ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลปลอดภัยและถูกนำไปใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามความยินยอมของเจ้าของข้อมูล.
PDPA คืออะไร? PDPA หรือ Personal Data Protection
Act B.E. 2562 (2019) คือกฎหมายที่ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
สร้างมาตรฐานการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัย
และกำหนดให้นำข้อมูลไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่เจ้าของข้อมูลอนุญาตเท่านั้น.
กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน
2565. วัตถุประสงค์หลักคือการป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น
เช่น การซื้อขายเบอร์โทรศัพท์โดยไม่ได้รับความยินยอม.
ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลคือข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้เสียชีวิต. ตัวอย่างข้อมูลได้แก่:
- ชื่อ-นามสกุล
หรือชื่อเล่น
- รูปถ่าย
- เลขประจำตัวประชาชน, เลขหนังสือเดินทาง, เลขบัตรประกันสังคม,
เลขใบอนุญาตขับขี่, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี,
เลขบัญชีธนาคาร, เลขบัตรเครดิต
- ที่อยู่, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์
- ข้อมูลอุปกรณ์หรือเครื่องมือ
เช่น IP address, MAC address, Cookie ID
- ข้อมูลระบุทรัพย์สิน
เช่น ทะเบียนรถยนต์, โฉนดที่ดิน
- ข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงไปยังข้อมูลข้างต้นได้
เช่น วันเกิดและสถานที่เกิด, เชื้อชาติ, สัญชาติ,
น้ำหนัก, ส่วนสูง, ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่
(location), ข้อมูลการแพทย์, ข้อมูลการศึกษา,
ข้อมูลทางการเงิน, ข้อมูลการจ้างงาน.
นอกจากนี้ ยังมี ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive
Personal Data) ซึ่ง PDPA ให้ความสำคัญเป็นพิเศษและมีบทลงโทษรุนแรงหากเกิดการรั่วไหล.
ข้อมูลเหล่านี้รวมถึง:
- เชื้อชาติ, เผ่าพันธุ์
- ความคิดเห็นทางการเมือง
- ความเชื่อในลัทธิ, ศาสนา หรือปรัชญา
- พฤติกรรมทางเพศ
- ประวัติอาชญากรรม
- ข้อมูลสุขภาพ, ความพิการ หรือข้อมูลสุขภาพจิต
- ข้อมูลสหภาพแรงงาน
- ข้อมูลพันธุกรรม
- ข้อมูลชีวภาพ
(Biometric) เช่น รูปภาพใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ฟิล์มเอกซเรย์, ข้อมูลสแกนม่านตา, ข้อมูลอัตลักษณ์เสียง, ข้อมูลพันธุกรรม.
สิทธิพื้นฐานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject
Rights) PDPA ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการควบคุมข้อมูลของตนเอง
สรุปได้ดังนี้:
1.
สิทธิได้รับการแจ้งให้ทราบ (Right to be
informed): ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบก่อนหรือขณะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
เว้นแต่เจ้าของข้อมูลทราบอยู่แล้ว. รายละเอียดที่ต้องแจ้งได้แก่
วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม, กรณีที่ต้องให้ข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย/สัญญาและผลกระทบจากการไม่ให้ข้อมูล,
ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะเก็บและระยะเวลาเก็บรักษา, ประเภทของบุคคลหรือหน่วยงานที่จะมีการเปิดเผยข้อมูล, ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและช่องทางการติดต่อ, และสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล.
2.
สิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (Right of access): เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน
หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่ตนไม่ได้ให้ความยินยอม.
ผู้ควบคุมข้อมูลต้องดำเนินการตามคำขอภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่ได้รับคำขอ เว้นแต่เป็นการปฏิเสธตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล
หรือส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น.
3.
สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (Right to object): เจ้าของข้อมูลสามารถคัดค้านการดำเนินการดังกล่าวได้ทุกเมื่อ
โดยเฉพาะกรณีที่เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมโดยไม่ต้องขอความยินยอมเพื่อประโยชน์สาธารณะ
หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง. เมื่อมีการคัดค้าน
ผู้ควบคุมข้อมูลไม่สามารถเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อไปได้.
4.
สิทธิขอให้ลบหรือทำลาย
หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ (Right to
erasure/right to be forgotten): เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่ข้อมูลหมดความจำเป็น,
เจ้าของถอนความยินยอมและไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บข้อมูลนั้นต่อไป,
หรือข้อมูลถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย.
หากผู้ควบคุมข้อมูลทำให้ข้อมูลเป็นสาธารณะและถูกขอให้ลบ
ก็ต้องรับผิดชอบดำเนินการทั้งทางเทคโนโลยีและค่าใช้จ่าย.
5.
สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (Right to withdraw
consent): หากเจ้าของข้อมูลเคยให้ความยินยอมในการใช้ข้อมูลไปแล้ว
สามารถยกเลิกความยินยอมนั้นได้ทุกเมื่อ
โดยการยกเลิกต้องทำได้ง่ายเหมือนกับการให้ความยินยอมในตอนแรก.
การถอนความยินยอมจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้
หรือเปิดเผยข้อมูลที่ได้ให้ความยินยอมไปแล้วโดยชอบ.
6.
สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (Right to restrict
processing): เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ในบางกรณี
เช่น ผู้ควบคุมข้อมูลอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลตามคำขอแก้ไข
หรือข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาแต่เจ้าของข้อมูลต้องการให้เก็บไว้เพื่อใช้ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย.
7.
สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล (Right to
rectification): เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองให้มีความถูกต้อง
เป็นปัจจุบัน และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด.
8.
สิทธิในการขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคล (Right to data
portability): ในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยอัตโนมัติได้
เจ้าของข้อมูลสามารถขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่งหรือโอนข้อมูลนั้นไปยังผู้ควบคุมข้อมูลอื่นได้โดยตรง
หากไม่ติดขัดทางเทคนิค หรือขอรับข้อมูลนั้นด้วยตนเอง.
วิธีการใช้สิทธิ โดยทั่วไปแล้ว
การใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้ PDPA สามารถทำได้โดยการติดต่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่รับผิดชอบข้อมูลนั้นโดยตรง.
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่จัดให้มีกระบวนการรับคำร้องจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ซึ่งควรเป็นวิธีที่ง่ายไม่ซับซ้อน และไม่กำหนดเงื่อนไข เช่น การยื่นแบบฟอร์ม,
ส่งคำร้องผ่านช่องทางแชท หรือส่งอีเมล.
ในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
PDPA หรือประกาศที่เกี่ยวข้อง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ.
ขั้นตอนการร้องเรียนโดยสังเขปมีดังนี้:
- การยื่นคำร้องเรียน: สามารถยื่นโดยตรงต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล,
ยื่นผ่านทางไปรษณีย์
หรือยื่นผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์หรือช่องทางอื่นที่สำนักงานกำหนด.
- รายละเอียดคำร้องเรียน: คำร้องเรียนต้องมีความชัดเจน, ใช้ถ้อยคำสุภาพ,
และมีรายละเอียดและเอกสารหลักฐานอย่างน้อยดังนี้:
ชื่อ-สกุลและที่อยู่ของผู้ร้องเรียน, รายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย,
รายละเอียดความเดือดร้อนเสียหาย, เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง,
คำขอที่ต้องการให้ผู้ควบคุมข้อมูลดำเนินการ, และคำรับรองว่าข้อความเป็นความจริง.
- การตรวจสอบเบื้องต้น: พนักงานเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคำร้องเรียนภายใน 15
วัน หากไม่ครบถ้วนจะแจ้งให้ผู้ร้องเรียนแก้ไข.
- การพิจารณา: เรื่องร้องเรียนจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณา.
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอาจใช้ดุลยพินิจไม่รับเรื่องหรือยุติเรื่องได้ในบางกรณี
เช่น คำร้องเรียนไม่ถูกต้องครบถ้วน
หรือมีผู้มีอำนาจพิจารณาตามกฎหมายอื่นอยู่แล้ว.
- การไกล่เกลี่ยและการออกคำสั่ง: หากเรื่องร้องเรียนมีมูลและสามารถไกล่เกลี่ยได้
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจะดำเนินการไกล่เกลี่ย.
หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จหรือไม่อาจไกล่เกลี่ยได้
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญมีอำนาจสั่งให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลปฏิบัติ,
แก้ไข, หรือระงับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายภายในระยะเวลาที่กำหนด.
- ระยะเวลาพิจารณา: คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาเรื่องร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 90
วัน นับแต่วันประชุมครั้งแรก และอาจขยายเวลาได้ไม่เกิน 2
ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 60 วัน.
การดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลรวมถึงการให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานต่างๆ
และประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม PDPA.
จากแหล่งข้อมูลที่ให้มา
"ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล" หมายถึง
บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้
หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีดังนี้:
- ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลครอบคลุมทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน
- เพียงแค่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไว้
ก็ถือว่าเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แล้ว
- องค์กรทุกแห่ง
เช่น บริษัท ห้างร้าน หรือแพลตฟอร์มต่างๆ
ที่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ผู้ใช้งาน หรือพนักงานภายในองค์กรเอง
ล้วนต้องได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ PDPA และต้องเพิ่มมาตรฐานนโยบายการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัยและนำไปใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ตามคำยินยอมของเจ้าของข้อมูล
- ตัวอย่างของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
ได้แก่:
- ผู้จัดทำเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ต้องขอข้อมูล
ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลการชำระเงิน
เพื่อดำเนินการสั่งซื้อและจัดส่งสินค้า
- บริษัทต่างๆ
ทันทีที่มีพนักงานคนแรกที่ต้องใช้ข้อมูลเพื่อจ่ายเงินเดือน
ก็ถือว่าเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว
- ผู้จัดงานอีเวนต์
คอนเสิร์ต และกิจกรรมต่างๆ
ที่มีการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอบรรยากาศภายในงานและภาพผู้เข้าร่วมงาน
ถือเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
ในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับ PDPA เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การรั่วไหลของข้อมูล
หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง
0 Comments
แสดงความคิดเห็น