กฎหมายละเมิดเป็นรากฐานสำคัญประการหนึ่งในระบบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งเป็นบทบัญญัติหลักที่กำหนดความรับผิดชอบของผู้ที่กระทำการอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย วิชาละเมิดถือเป็นวิชาบังคับและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของนักกฎหมายและประชาชนทั่วไป เนื่องจากข้อพิพาทหลายกรณีในสังคมมักมีเรื่องละเมิดเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ.
มาตรา 420 บัญญัติไว้ว่า: "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"
จากบทบัญญัตินี้ สามารถแบ่งองค์ประกอบสำคัญของการกระทำละเมิดออกได้เป็น 4 ประการ ดังนี้:
1. มีการกระทำของบุคคล "การกระทำ" ในที่นี้หมายถึงการเคลื่อนไหวทางกาย เช่น การตบ ตี ยิง หรือการแสดงพฤติกรรมอย่างหนึ่ง. นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึง การงดเว้นหรือการไม่กระทำหน้าที่ หากบุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายแต่กลับละเว้น. ตัวอย่างเช่น ฎีกาที่ 2600/2538 วางหลักว่า การละเว้นจะถือเป็นการละเมิดได้ก็ต่อเมื่อเป็นการละเว้นหน้าที่ที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น. "หน้าที่" ดังกล่าวอาจเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย หน้าที่ตามสัญญา หน้าที่จากความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณี หน้าที่ตามวิชาชีพ หน้าที่ตามความสัมพันธ์อันใกล้ชิด หรือหน้าที่ที่เกิดจากการก่ออันตราย.
2. กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
-
"จงใจ" "จงใจ" หมายถึง ผู้กระทำมีความต้องการที่จะให้เกิดผลร้าย. สิ่งสำคัญคือ ความจงใจในความหมายของมาตรา 420 มิได้ตรงกับ "เจตนา" ในความหมายของกฎหมายอาญา. ในทางแพ่ง การกระทำโดยจงใจทำร้ายผู้อื่นก็ถือเป็นการละเมิดแล้ว แม้จะไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลถึงตายอย่างแท้จริง หรือกระทำโดยบันดาลโทสะก็ตาม.
- ตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกา:
- ฎีกาที่ 1104/2509 วินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ก็ยังถือว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อผู้ตายแล้ว เพราะ การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายเป็นการกระทำโดยจงใจทำร้ายผู้ตายโดยผิดกฎหมายอยู่แล้ว แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าก็ถือว่าเป็นละเมิด.
- ฎีกาที่ 7121/2560 วางหลักว่า การที่จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแม้กระทำโดยบันดาลโทสะ ก็ยังถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อผู้ตายโดยผิดกฎหมายตามมาตรา 420 ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน.
- ตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกา:
-
"ประมาทเลินเล่อ" "ประมาทเลินเล่อ" หมายถึง การกระทำโดยไม่ใช้ความระมัดระวังเพียงพอตามวิสัยและพฤติการณ์. อย่างไรก็ตาม หากบุคคลอยู่ในภาวะที่ไม่อาจใช้ความระมัดระวังได้ เช่น ตกตะลึงหรือถูกข่มขู่ ก็อาจไม่ถือว่าประมาท.
- ตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกา:
- ฎีกาที่ 769/2510 กรณีที่จำเลยขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงเพราะถูกคนร้ายขู่ให้ขับรถไปชนรถคันอื่น ไม่ถือว่าเกิดจากความประมาทของจำเลย เนื่องจากบุคคลที่อยู่ในภาวะตกตะลึงกลัวจะให้มีความระมัดระวังเช่นบุคคลปกติหาได้ไม่.
- ตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกา:
3. เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย "ผิดกฎหมาย" หมายถึง การกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการละเมิดหรือล่วงสิทธิของผู้อื่นที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง.
- ขอบเขตของ "ผิดกฎหมาย": ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกระทำที่ต้องห้ามโดยกฎหมายอาญาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายอื่นใดที่คุ้มครองสิทธิของบุคคล.
- ตัวอย่างการกระทำที่ถือว่า "ผิดกฎหมาย":
- การดำเนินกระบวนการบังคับคดีโดยไม่ชอบ.
- การใช้สิทธิเกินส่วน (Abuse of Right) เป็นหลักการสำคัญภายใต้กฎหมายละเมิดของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน มาตรา 421. การใช้สิทธิเกินส่วนเกิดขึ้นเมื่อบุคคลผู้ทรงสิทธิได้ใช้สิทธิของตนในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น และการกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย. แม้แต่การใช้สิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญก็อาจถือเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนได้ หากการกระทำนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย.
- ประเภทของการใช้สิทธิเกินส่วน:
- การใช้สิทธิโดยแกล้ง (Malicious exercise of right): คือ การใช้สิทธิโดยไม่มีประโยชน์อันแท้จริง แต่มีเจตนาเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น. ตัวอย่างเช่น การเบี่ยงเบนน้ำเพื่อให้น้ำท่วมที่ดินของผู้อื่น, การสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อบังทางลมหรือแสงแดดของเพื่อนบ้าน หรือการก่อให้เกิดเสียงดังหรือกลิ่นเหม็นรบกวน.
- การใช้สิทธิเกินส่วนไม่สุจริต (Dishonest/bad faith excessive exercise of right): คือ การใช้สิทธิโดยทำให้ผู้อื่นเสียหายเกินส่วนโดยไม่สุจริต หรือเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่ขอบเขตของสิทธิที่แท้จริง. ฎีกาที่ 1671/2517 เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงว่า การที่ผู้กระทำมีสิทธิอยู่เหนือบุคคลอื่น แต่ใช้สิทธิเกินส่วน หรือโดยไม่สุจริต ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย ถือเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย.
- ประเภทของการใช้สิทธิเกินส่วน:
- สิ่งที่ ไม่ ถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายตามมาตรา 420:
- การละเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา. ฎีกาที่ 6114/2540 ยืนยันหลักการนี้.
4. ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจถึงแก่ ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ของผู้อื่น.
- "อนามัย" หมายความรวมถึง ความเสียหายทางด้านจิตใจ ซึ่งหมายถึง เหตุที่ทำให้กระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง. ฎีกาที่ 9042/2560 วางหลักว่าเหตุที่ทำให้กระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ได้รับความเสียหายทางด้านจิตใจ เป็นความเสียหายแก่อนามัย.
- "สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด" หมายถึง สิทธิที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง.
- ความเสียหายนี้จะต้องเป็น ผลโดยตรง ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้กระทำละเมิด. ฎีกาที่ 1973/2497 วางหลักว่า ความเสียหายจะต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำ.
วิวัฒนาการของกฎหมายละเมิด: แนวคิดกฎหมายละเมิดมีการพัฒนามายาวนาน.
- ยุคโบราณ: เริ่มต้นด้วยหลักการแก้แค้น เช่น "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" (Lex Talionis) ตามประมวลกฎหมายฮัมบูราบี.
- ยุคโรมัน: มีการบัญญัติกฎหมาย 12 โต๊ะ ซึ่งกำหนดให้ผู้เสียหายมีสิทธิ์เรียกร้องค่าปรับจากผู้ทำละเมิด ถือเป็นการชดใช้ในลักษณะของการลงโทษ และเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกความรับผิดทางอาญาและแพ่งออกจากกัน.
- ประมวลกฎหมายนโปเลียน: พัฒนาแนวคิดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าละเมิดเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ เพื่อเยียวยาชดใช้ความเสียหายที่แท้จริง โดยแยกจากการลงโทษทางอาญาอย่างเด็ดขาด.
- ยุคปัจจุบัน: แนวคิดเรื่อง ความรับผิดชอบต่อสังคม ได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยมุ่งเน้นการคุ้มครองผู้บริโภคและสาธารณะ. ตัวอย่างคดีสำคัญในต่างประเทศ เช่น คดี Philip Morris (ผู้ผลิตบุหรี่ต้องรับผิดชอบต่ออันตรายที่ปกปิดไว้) และคดี McDonald's (กาแฟร้อนเกินกว่าเหตุ). ในประเทศไทย ก็มีแนวคำพิพากษาที่ให้ห้างสรรพสินค้าต้องรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของรถลูกค้าในที่จอดรถ ซึ่งถือเป็นการขยายขอบเขตความรับผิดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเช่นกัน.
- ทฤษฎีความรับผิด:
- ทฤษฎีรับภัย (Risk Theory): ผู้ก่อให้เกิดภัยต้องรับผิดชอบโดยเด็ดขาด ไม่ต้องพิจารณาความผิด.
- ทฤษฎีความผิด (Fault Theory): บุคคลต้องรับผิดเมื่อมีการกระทำที่ผิด (Theories of Fault) ไม่ว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่อ.
- ทฤษฎีความรับผิดโดยเคร่งครัด (Strict Liability): ผู้กระทำต้องรับผิดในบางกรณีแม้จะพิสูจน์ความผิดได้ยาก เพื่อลดภาระการพิสูจน์ของผู้เสียหายและคุ้มครองสังคม.
- ทฤษฎีข้อสันนิษฐานความรับผิด (Presumed Fault): มีการกำหนดข้อสันนิษฐานความรับผิดทางกฎหมายเพื่อลดภาระการพิสูจน์ของผู้เสียหาย แต่ยังเปิดช่องให้ผู้ที่ต้องรับผิดสามารถนำสืบปฏิเสธได้.
กฎหมายไทย: กฎหมายละเมิดของไทยในสมัยโบราณอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐและพระมหากษัตริย์ เน้นการลงโทษมากกว่าการชดใช้ค่าเสียหาย. การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงนำแนวคิดกฎหมายตะวันตกมาใช้ โดยแยกความรับผิดทางแพ่งออกจากอาญาอย่างชัดเจน และมีการบัญญัติศัพท์ "ประทุษร้ายทางแพ่ง" ก่อนที่จะมีคำว่า "ละเมิด" ปรากฏครั้งแรกในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2478.
สรุป: กฎหมายละเมิดตามมาตรา 420 เป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเยียวยาความเสียหายในสังคม โดยมีองค์ประกอบของการกระทำ ความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ การกระทำโดยผิดกฎหมาย และการเกิดความเสียหายที่ต้องเป็นผลโดยตรง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด. ความเข้าใจในแนวคำพิพากษาฎีกาและวิวัฒนาการของกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการประยุกต์ใช้กฎหมายละเมิดในสถานการณ์จริง.
บรรณานุกรม
- Law Center. (2565). 175 ละเมิด อ สไลเกษ ครั้งที่ 01 [วิดีโอ]. YouTube.
- http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW208(48)/lw208(48)-2-2.pdf.
- http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW208(H)(48)/LW208(H)(48)-1.pdf.
- การกระทำที่ "ผิดกฎหมาย" ตาม ม.420.
- การกระทำละเมิด: การใช้สิทธิเกินส่วนและผิดกฎหมาย.
- การใช้สิทธิเกินส่วน: ความรับผิดตามมาตรา 421.
- การใช้สิทธิเกินส่วน: ความรับผิดและมาตรา 421.
- มาตรา ๔๒๐ ละเมิด.pdf.
- สาระสำคัญการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420.
- สาระสำคัญของการกระทำละเมิดตามมาตรา 420.
0 Comments
แสดงความคิดเห็น