ภาระค่าฤชาธรรมเนียมการบังคับคดี กรณีทรัพย์ถูกรื้อถอน: ศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาที่ 541/2567

การบังคับคดีเป็นกระบวนการสำคัญในการนำคำพิพากษาของศาลมาสู่การปฏิบัติจริง อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี การบังคับคดีอาจประสบปัญหาหรืออุปสรรคที่ไม่คาดคิด ทำให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น บทความนี้จะพาท่านไปวิเคราะห์กรณีศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาที่ 541/2567 ซึ่งเป็นกรณีที่ทรัพย์ที่ถูกยึดเพื่อบังคับคดีถูกรื้อถอนไป ทำให้ไม่สามารถนำออกขายทอดตลาดได้ และศาลได้วินิจฉัยถึงภาระค่าฤชาธรรมเนียมที่เกิดขึ้น

ข้อเท็จจริงในคดี (โดยสรุป)

ผู้ร้องซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่ง (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ได้ดำเนินการบังคับคดียึดอาคารหลังหนึ่ง แต่ในระหว่างที่การบังคับคดีดำเนินอยู่ อาคารดังกล่าวได้ถูกรื้อถอนไปโดยคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากอาคารมีสภาพเป็นอันตราย ซึ่งการรื้อถอนนี้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และผู้ร้องเองก็ทราบถึงสภาพของอาคารมาก่อนแล้ว การรื้อถอนดังกล่าวทำให้ไม่สามารถนำอาคารออกขายทอดตลาดได้ตามวัตถุประสงค์ของการบังคับคดี

ประเด็นปัญหาที่ศาลต้องวินิจฉัย

เมื่ออาคารถูกรื้อถอนไปและไม่สามารถนำออกขายทอดตลาดได้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีที่เกิดขึ้น

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงและบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:

1.         การใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย: การที่อาคารถูกรื้อถอนเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากอาคารมีสภาพเป็นอันตราย ไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือความไม่สุจริตของโจทก์ในคดีแพ่ง (ซึ่งผู้ร้องรับโอนสิทธิมา)

2.         ความรู้ของผู้ร้อง: ผู้ร้องทราบมาก่อนแล้วว่าอาคารที่ยึดมีสภาพเป็นอันตรายและมีคำสั่งให้รื้อถอน

3.         ไม่ใช่การถอนการบังคับคดี: การที่อาคารถูกรื้อถอนไป ไม่ถือเป็นการถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๒ (๒) (๓) (๖) และ (๗) ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดเหตุแห่งการถอนการบังคับคดี

4.         บทบัญญัติเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียม: ศาลอ้างถึงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๙/๒ วรรคสี่ ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับภาระค่าฤชาธรรมเนียม

จากเหตุผลดังกล่าว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะให้ผู้ร้อง (เจ้าหนี้) ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมกรณีที่ยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ซึ่งหมายความว่า ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมการบังคับคดีที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารถนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดได้ก็ตาม

บทสรุปและข้อคิด

หลักการว่า หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความผิด ความประมาท หรือการกระทำโดยไม่สุจริตของเจ้าหนี้ และเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานอื่น ก็ไม่ควรเป็นภาระแก่เจ้าหนี้