ข้อกฎหมาย บัตรกดเงินสด ชำระหนี้คืนแบบยอดขั้นต่ำ ดอกเบี้ยค้างชำระ ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน การเริ่มนับอายุความ การฟ้องคดีโดยไม่สุจริต
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๙๓/๓๐
อายุความนั้น
ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี
มาตรา ๑๙๓/๑๒
อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป
ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใดให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น
มาตรา ๑๙๓/๓๓ สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี
(๑)
ดอกเบี้ยค้างชำระ
หมายเหตุ
1.
การเริ่มนับอายุความ; จำเลยที่ ๑
กู้ยืมไปจากโจทก์โดยมีข้อตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนโจทก์เป็นงวด
ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑
ตกลงกำหนดวิธีชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินคืนโดยผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ
สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความ ๕ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๒)
จำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘
ซึ่งเป็นการชำระผิดไปจากข้อตกลง จำเลยที่ ๑ จึงได้ชื่อว่าผิดนัด
โจทก์จึงมีสิทธิบังคับสิทธิเรียกร้องได้ทั้งหมดนับแต่นั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๒
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ จึงพ้นกำหนดอายุความ
๕ ปี คดีของโจทก์ในส่วนหนี้เงินกู้จึงขาดอายุความ(ฎีกาที่ ๑๑๕๒/๒๕๕๒), สัญญากู้เงินไม่ได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนไว้
โจทก์ย่อมเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๐๓ วรรคหนึ่ง
และถือเป็นระยะเวลาที่ผู้ให้กู้อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้
อายุความจึงเริ่มนับแต่วันถัดจากวันทำสัญญากู้เงินแต่ละฉบับ(ฎีกาที่ ๘๑๗๒/๒๕๕๑),
การกู้ยืมเงินกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ ๑๐
ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๐ และตามมาตรา ๑๙๓/๑๒ บัญญัติว่า "อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป"
จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๙
ตามหนังสือสัญญากู้เงิน ข้อ ๔ กำหนดให้จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทุกเดือน
ซึ่งจะครบกำหนดชำระดอกเบี้ยเดือนแรกในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙
การที่จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์จึงเป็นการผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยได้ทันทีตามสัญญาข้อ
๖ โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของตนได้ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๙
เป็นต้นไป โดยไม่จำต้องรอจนครบกำหนดชำระเงินคืนตามสัญญา
อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว ซึ่งจะครบกำหนดอายุความ ๑๐ ปี ในวันที่ ๑๐
มิถุนายน ๒๕๔๙ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๐ เกินกว่า ๑๐ ปี
นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ(ฎีกาที่
๖๘๓๐/๒๕๕๑), จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์
โดยจะชำระหนี้ให้โจทก์เป็นสองงวด งวดที่ ๑ ชำระภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๑ งวดที่
๒ ชำระภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒
หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีได้ทันที
ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกำหนดวิธีการชำระหนี้เงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ
มีกำหนดจำนวนเงินและระยะเวลาจ่ายที่แน่นอน
สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความ ๕ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๒)
เมื่อปรากฏว่าหลังจากทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตั้งแต่งวดแรก
โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้ทั้งหมด อายุความเริ่มนับแต่วันที่ ๑
มิถุนายน ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๙๓/๑๒ แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
จึงพ้นกำหนดอายุความ ๕ ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว(ฎีกาที่ ๑๖๙๒/๒๕๕๑), ผู้กู้ทำสัญญากู้เงินสินเชื่อกรุงไทยธนวัฏมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันโดยยินยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วม
และตามหนังสือสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏ ข้อ ๔ ระบุว่า
ผู้กู้ตกลงให้นายจ้างจ่ายเงินเดือนและเงินพึงได้อื่นได้อื่นใดที่ผู้กู้พึงได้จากนายจ้างเป็นรายเดือนให้ผู้กู้โดยวิธีนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของผู้กู้ที่เปิดไว้
ณ สำนักงานธนาคารผู้ให้กู้เป็นประจำทุกเดือนติดต่อกันตลอดไป
จากข้อสัญญาดังกล่าวเห็นได้ว่านิติสัมพันธ์ระหว่าง
ผู้กู้กับโจทก์ตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏในลักษณะนี้กฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ
จึงมีกำหนดอายุความสิบปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๐ และตามมาตรา ๑๙๓/๑๒ บัญญัติว่า
อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ดังนั้น
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้กู้ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒
พฤษภาคม ๒๕๓๔ หลังจากนั้นผู้กู้หรือหน่วยงานของผู้กู้ก็มิได้นำเงินมาชำระหนี้โจทก์อีกเลย
จึงถือว่าเป็นการประพฤติผิดสัญญา และเมื่อตามหนังสือสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏ ข้อ ๔
ระบุว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งหมดคืนได้ทันทีถือได้ว่าระยะเวลา
ซึ่งโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นั้นเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๓๔
เป็นต้นไป หาใช่นับแต่วันครบกำหนด ๗ วันนับแต่วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๗
ที่โจทก์บอกเลิกสัญญาดังที่โจทก์ฎีกาไม่ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม
๒๕๔๗ จึงเกิน ๑๐ ปี แล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์(ฎีกาที่ ๕๗๒๕/๒๕๕๒), การนำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่ง
ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๒ ให้มีกำหนดอายุความ ๑๐ ปี ในการนับอายุความนั้น มาตรา ๑๙๓/๑๒
บัญญัติว่า อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป
คดีนี้ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒
กำหนดให้จำเลยผ่อนชำระหนี้เป็นงวด งวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๑๒
ตกลงผ่อนชำระงวดละไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ บาท
โดยเริ่มชำระงวดแรกในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๒
ปรากฏว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตั้งแต่การชำระหนี้งวดแรกเช่นนี้การเริ่มนับอายุความจึงเริ่มนับแต่วันที่
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒(ฎีกาที่ ๑๓๓๖/๒๕๕๖), สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดให้มีอายุความ
๑๐ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๒ แต่เนื่องจากเป็นสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาตามยอม
อายุความจึงให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา
๑๙๓/๑๒ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
และศาลพิพากษาตามยอมตั้งแต่งวดแรกซึ่งถึงกำหนดชำระในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๓
โจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาตามยอมได้ทันทีนับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป
อายุความ ๑๐ ปี จึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว ซึ่งครบกำหนดอายุความในวันที่ ๓๐
สิงหาคม ๒๕๕๓ แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ พ้นกำหนดอายุความแล้ว
ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ อันเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยที่ ๑ ล้มละลาย ตาม
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๔(ฎีกาที่ ๑๐๐๙๖/๒๕๕๘), ตามสัญญาซื้อขายทองคำแท่ง ข้อ ๕.๓ การชำระเงินระบุว่า
จำเลยต้องชำระค่าซื้อทองคำแท่งภายใน ๕ วันทำการ และในข้อ ๗ ระบุว่า
หากจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดหรือปฏิบัติผิดเงื่อนไข
จำเลยยอมให้โจทก์มีสิทธิปิดสถานะการซื้อขายทองคำแท่งของจำเลยได้ทันที โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้า
จำเลยต้องรับผิดส่วนต่างของราคาทองคำที่ซื้อขายขาดทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
แสดงว่าการซื้อขายทองคำแท่งของจำเลยกับโจทก์มีกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอนโดยจำเลยต้องชำระเงินภายใน
๕ วันทำการ หากครบกำหนด ๕ วันทำการ จำเลยไม่ชำระเงิน โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้นับแต่เวลานั้น(ฎีกาที่
๕๗๐๔/๒๕๖๐), ใบแจ้งหนี้ทั้งหมดที่โจทก์ส่งให้จำเลยรวม
๑๐ ฉบับ มีเพียงหนี้ตามใบแจ้งหนี้ ฉบับที่ ๙ และ ๑๐ เท่านั้นที่ไม่เกิน ๒ ปี
ส่วนหนี้ตามใบแจ้งหนี้ ฉบับที่ ๑ ถึง ๘ เกิน ๒ ปีแล้ว
แต่หลังจากนั้นจำเลยนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วน
กรณีเป็นการที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์หลายจำนวนและนำเงินมาผ่อนชำระโดยไม่ระบุว่าชำระหนี้รายใด
ถือว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนของหนี้ทั้งหมด
อันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงทั้งหมดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑)
โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกิน ๒ ปี นับแต่วันที่ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ดังนั้น
หนี้ของโจทก์ทั้งหมดตามใบแจ้งหนี้ทั้ง ๑๐ ฉบับ จึงไม่ขาดอายุความ
และกรณีที่จำเลยไม่ได้ระบุว่าชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้ฉบับใด
จึงต้องนำไปชำระหนี้ที่ถึงกำหนดก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๒๘ วรรคสอง
ที่โจทก์นำไปชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้ฉบับแรก ซึ่งเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระก่อน
จึงเป็นการนำไปชำระหนี้ถูกต้องแล้ว(ฎีกาที่ ๔๖๑๘/๒๕๕๒), การนับอายุความต้องเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๒
การที่โจทก์กับจำเลยตกลงชำระค่าเช่าเครื่องจักรเป็นรายเดือนและจำเลยต้องชำระภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลา ๓๐ วันดังกล่าว
โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับสิทธิเรียกร้องค่าเช่าค้างชำระดังกล่าวได้ทันที
โดยไม่ต้องรอให้สัญญาเช่าสิ้นสุดหรือให้จำเลยส่งมอบเครื่องจักรคืนโจทก์ก่อน
อายุความเรียกค่าเช่าค้างชำระ ๒ ปี จึงเริ่มนับเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วัน
นับแต่วันที่จำเลยได้รับใบแจ้งหนี้ในแต่ละฉบับ(ฎีกาที่ ๔๖๑๘/๒๕๕๒),
2.
สัญญาสินเชื่อส่วนบุคคลแบ่งชําระเป็นงวดรายเดือนในอัตราขั้นต่ำร้อยละ
๕ ของยอดหนี้ จึงไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ มีกำหนดอายุความ ๑๐ ปี ตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๙๓/๓๐; ตามสัญญาและเงื่อนไขที่ระบุในใบสมัครสินเชื่อส่วนบุคคล กำหนดว่า
ผู้กู้ตกลงที่จะชำระคืนหนี้ต้นเงินกู้
ตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีพร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนในวันที่ครบกำหนดชําระเงินซึ่งระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชี
โดยผู้กู้จะเลือกชําระคืนต้นเงินกู้ขั้นต่ำในแต่ละเดือนเท่ากับอัตราร้อยละ ๕
ของยอดหนี้ที่ธนาคารเรียกเก็บในแต่ละเดือนหรือจำนวน ๕๐๐ บาท
แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่ากันและ/หรือในอัตราขั้นต่ำอื่น ๆ
ที่ธนาคารประกาศกำหนดในแต่ละขณะตามจำนวนที่ธนาคารระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีก็ได้
ตามสัญญามีข้อตกลงว่าจำเลยจะต้องชําระค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินโดยแบ่งชําระเป็นงวดรายเดือนในอัตราขั้นต่ำร้อยละ
๕ ของยอดหนี้ที่ธนาคารเรียกเก็บในแต่ละเดือน
ซึ่งสัญญาตามกําหนดให้จําเลยชําระเพียงจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชําระ
แม้ธนาคารจะนําไปหักชําระเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยบางส่วน แต่หากจําเลยผิดนัดไม่ชําระหนี้ตามสัญญาและภายในกำหนดจําเลยต้องชําระเบี้ยปรับและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอันเป็นข้อตกลงว่าจําเลยอาจชําระหนี้ในอัตราขั้นสูงเพียงใดก็ได้
และสัญญามิได้กําหนดให้จําเลยต้องผ่อนทุนคืนเป็นเวลากี่งวด
สัญญาสินเชื่อส่วนบุคคลจึงไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ
กรณีดังกล่าวจึงมิใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความ ๕ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๙๓/๓๓ (๒)
แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์เช่นนี้กฎหมายมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ
จึงมีอายุความ ๑๐ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๐(ฎีกาที่ ๑๕๘/๒๕๖๕),
3.
โจทก์ทอดเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะนำคดีมาฟ้องเป็นเวลาถึงห้าปีเศษ
จนเป็นเหตุให้ภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยสูงเกินไปกว่าต้นเงินที่ค้างชำระ
กรณีนับเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม
ศาลไม่กำหนดให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้องหรือไม่ได้รับชำระดอกเบี้ยทั้งอัตราปกติและผิดนัดของหนี้เงินต้นได้; เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาแห่งการใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งประกอบธุรกิจบริษัทบริหารสินทรัพย์
และรับโอนสิทธิเรียกร้องที่ธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมมีอยู่ต่อจำเลยทั้งสอง
ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงรายละเอียดการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองว่า
จำเลยทั้งสองชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ธนาคาร น.
ในวันใด และธนาคาร น.
เจ้าหนี้เดิมอาจใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ฉบับลงวันที่ ๒๓
เมษายน ๒๕๕๐ ได้ตั้งแต่เวลาใด รวมถึงโจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วได้ใช้สิทธิบังคับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ในทันทีที่มีโอกาสกระทำได้หรือภายในระยะเวลาอันสมควรหรือไม่
พฤติการณ์ของธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมกับโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องมาในปี ๒๕๕๗
ยังคงทอดเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓
เป็นเวลาถึงห้าปีเศษ
จนเป็นเหตุให้ภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดสูงเกินไปกว่าต้นเงินที่ค้างชำระ
แสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้เดิมและโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้บริโภค
กรณีนับเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม
ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๒ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑
อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่กำหนดให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้องจึงสมควรแก่รูปคดีแล้ว(ฎีกาที่
๖๑๐/๒๕๖๗), แม้หนี้ตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฎโจทก์อ้าจใช้สิทธิเรียกร้องได้ภายใน
๑๐ ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๙๓/๓๐
หรืออาจใช้สิทธิเกินกว่าระยะเวลาดังกล่าวก้ไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องในหนี้เงินระงับสิ้นไปก็ตาม
แต่หากโจทก์จะใช้สิทธิบังคับชำระหนี้เมื่อ ส.หรือ ธ.ผู้ตายผิดนัด ก็ย่อมสามารถกระทำได้ทันที
การที่โจทก์ละเลยเพิกเฉยปล่อยเวลาผ่านไปถึงเกือบ ๑๘ ปี
จนจำนวนดอกเบี้ยเกินกว่าเงินต้นเกือบถึง ๓ เท่า
ทั้งที่หนี้เงินกู้กรุงไทยธนวัฎมีกำหนดชำระที่แน่นอน
และมีการส่งรายการบัญชีให้จำเลยทราบทุกเดือน
ประกอับโจทก์มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีลูกหนี้ตามกฎหมายให้สอดคล้องกับรายการคำนวณยอดหนี้กับจำเลยตลอดมา
นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงว่าได้ทำการตรวจสอบหรือติดตามให้ ส.หรือ
ธ.ผู้ตายหรือทายาทชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร
และไม่นำสืบหรือแสดงเหตุผลที่ดำเนินการฟ้องร้องจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันล่าช้าถึงเกือบ
๑๘ ปี หลังจากที่สัญญาเลิกกัน อันเป็นภาระการพิสูจน์ของผู้ประกอบกิจการตาม
พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๒๙
พฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่า
โจทก์ผู้ประกอบธุรกิจอาศัยสิทธิที่มีอยู่ตามสัญญาหรือกฎหมายเป็นช่องทางให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยผิดนัดแต่เพียงฝ่ายเดียว
โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้
เช่นนี้ การกระทำของโจทก์ย่อมไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิด้วยความสุจริต
โดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรมไม่เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา
๑๒ แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑
ซึ่งมีเจตนารมณ์ที่มุ่งคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบเกินสมควร
ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดให้โจทก์ไม่ได้รับชำระดอกเบี้ยทั้งอัตราปกติและผิดนัดของหนี้เงินต้นโดยผลของบทบัญญัติดังกล่าวหลังจาก
ส.หรือธ.ผู้ตายผิดนัดได้ แม้โจทก์จะมีสิทธิได้รับตามกฎหมายก็ตาม(ฎีกาที่
๔๕๘๐/๒๕๖๒),
4.
ค่าบริการครั้งแรกและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน
เป็นดอกเบี้ยของสัญญากู้ยืมเงิน; แม้โจทก์จะคิดผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญาเป็นค่าบริการครั้งแรก
และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินต่างหากจากดอกเบี้ยปกติที่เรียกเก็บโดยใช้ชื่อเรียกแตกต่างออกไป
แต่ผลประโยชน์ดังกล่าวก็เป็นค่าตอบแทนที่จำเลยต้องใช้ให้แก่โจทก์จากการได้กู้ยืมเงิน
ดังนั้น เงินที่โจทก์คิดเป็นค่าบริการครั้งแรกและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินดังกล่าวจึงเป็นดอกเบี้ยของสัญญากู้ยืมเงิน
(ฎีกาที่ ๕๒๙๘/๒๕๕๑ (ป)),
5.
อัตราดอกเบี้ยต้องกำหนดไว้โดยชัดแจ้ง; สัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกำหนดให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระมาแล้วทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยตามอัตราเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์
ซึ่งไม่ชัดแจ้งว่ามีอัตราเท่าใด จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๗ ที่ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี(ฎีกาที่ ๑๖๐๘/๒๕๕๒),
6.
ดอกเบี้ยค้างชำระที่กำหนดอายุความ
๕ ปีนี้ หมายถึงดอกเบี้ยที่ค้างชำระอยู่ก่อนวันฟ้องคดี; ตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๙๓/๓๓ บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความ ๕ ปี (๑) ดอกเบี้ยค้างชำระ ฯลฯ
คำว่า ดอกเบี้ยไม่ได้หมายความเฉพาะดอกเบี้ยจากหนี้เงินกู้เท่านั้น
อาจเป็นดอกเบี้ยจากหนี้กรณีอื่น ๆ ก็ได้ ซึ่งดอกเบี้ยค้างชำระที่กำหนดอายุความ ๕
ปีนี้ หมายถึงดอกเบี้ยที่ค้างชำระอยู่ก่อนวันฟ้องคดี(ฎีกาที่ ๔๒๒๘/๒๕๕๕),
7.
ดอกเบี้ยค้างชำระเกิน
๕ ปี จำเลยต้องต่อสู้ไว้ในคำให้การมิฉะนั้นไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย; ไม่ว่าดอกเบี้ยจะค้างอยู่นานเท่าใด
ในกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอายุความคิดดอกเบี้ยไว้
โจทก์ก็มีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องย้อนหลังไปได้เพียง ๕ ปี เท่านั้นตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๑)(ฎีกาที่ ๑๒๕/๒๕๕๔), จำเลยทั้งสองไม่ได้ยกอายุความเรื่องดอกเบี้ยค้างชำระเกินห้าปีขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ
จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓
(๑) หรือไม่(ฎีกาที่ ๔๕๖๓/๒๕๕๗),
0 Comments
แสดงความคิดเห็น