การแก้ไขคำให้การ: ข้อควรรู้สำหรับนักกฎหมาย

ในกระบวนพิจารณาคดีแพ่ง การ "แก้ไขคำให้การ" ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คู่ความสามารถปรับเปลี่ยนข้อต่อสู้หรือข้อเท็จจริงในคดีให้ถูกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจำเลย กฎหมายได้เปิดช่องให้ดำเนินการได้ค่อนข้างกว้าง วันนี้เราจะมาสรุปหลักเกณฑ์สำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พร้อมแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ เพื่อให้เพื่อนนักกฎหมายทุกท่านเข้าใจและนำไปใช้ได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ ฎีกาศึกษา ของคุณ


1. หลักการแก้ไขคำให้การ: ทำอะไรได้บ้าง? (ป.วิ.พ. มาตรา 179)

มาตรา 179 วางหลักให้โจทก์และจำเลยสามารถแก้ไขเพิ่มเติม ข้อหา, ข้อต่อสู้, ข้ออ้าง, หรือข้อเถียง ที่เคยระบุไว้ในคำฟ้องหรือคำให้การเดิมได้

ประเด็นสำคัญสำหรับ "คำให้การจำเลย":

  • ยกข้อต่อสู้ใหม่ได้: มาตรา 179 (3) อนุญาตให้จำเลยสามารถ "ยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่" เพื่อแก้ข้อหาเดิมของโจทก์ หรือข้อหาที่ยื่นภายหลังได้เลย
  • ไม่ต้องเกี่ยวกับคำให้การเดิม: นี่คือจุดที่สำคัญมาก! ศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้อย่างชัดเจนว่า การแก้ไขคำให้การของจำเลยโดยการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่นั้น "ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับคำให้การเดิม" (อ้างอิงจาก ฎีกาที่ 194/2524, 2236/2545, 2297/2515, 1723/2513) ซึ่งต่างจากการแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ที่มักถูกจำกัดให้ต้องเกี่ยวพันกับฟ้องเดิมพอสมควร หลักนี้ช่วยให้จำเลยมีความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์การต่อสู้คดีได้ดีขึ้น

2. เงื่อนไขและระยะเวลา: เมื่อไหร่ถึงจะแก้ไขได้? (ป.วิ.พ. มาตรา 180)

การจะแก้ไขคำให้การได้นั้น ต้องยื่นคำร้องต่อศาลและได้รับอนุญาต โดยมีเงื่อนไขเรื่องเวลาเป็นหลัก:

  • หลักทั่วไป:
    • ต้องยื่นคำร้อง ก่อนวันชี้สองสถาน
    • หรือ ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน (ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน)
  • ข้อยกเว้น (ยื่นหลังกำหนดเวลาได้):
    • มี เหตุอันสมควร ที่ทำให้ยื่นไม่ทัน
    • เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน (เช่น ปัญหาอำนาจฟ้อง หรือนิติกรรมที่เป็นโมฆะ)
    • เป็นการแก้ไข ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย

แนวฎีกาที่ช่วยไขข้อสงสัยเรื่องเวลา:

  • ก่อนวันชี้สองสถาน: ไม่จำเป็นต้อง 7 วัน! หากยื่นคำร้องก่อนวันนัดชี้สองสถานเพียงไม่กี่วัน ก็ถือว่าชอบด้วย มาตรา 180 แล้ว (ฎีกาที่ 3642/2555)
  • วันงดชี้สองสถาน/สืบพยาน: หากศาลมีคำสั่งงดชี้สองสถานหรือเลื่อนนัดสืบพยานไป วันนั้นจะไม่ถือเป็น "วันชี้สองสถาน" หรือ "วันสืบพยาน" ตามกฎหมาย ดังนั้น จำเลยจึงยังสามารถยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในวันดังกล่าวได้ (ฎีกาที่ 11317/2553)
  • ไม่มีชี้สองสถาน/สืบพยานเลย: ในกรณีที่ศาลงดการชี้สองสถานและงดสืบพยาน และนัดฟังคำพิพากษาเลย จำเลยยังคงสามารถยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาได้ แม้เรื่องที่แก้ไขจะไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม (ฎีกาที่ 7115/2552)

3. ข้อควรระวังสำคัญ: "คำให้การต้องไม่ขัดแย้งกันเอง!"

นี่คือ จุดที่นักกฎหมายต้องพึงระวังมากที่สุด! แม้กฎหมายจะเปิดโอกาสให้แก้ไขคำให้การได้กว้าง แต่ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญ:

  • ศาลไม่อนุญาตให้แก้ไขหากขัดแย้งกันเอง: หากการแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การนั้น ทำให้ คำให้การเดิมและคำให้การที่แก้ไข "ขัดแย้งกันเอง" จนกลายเป็นคำให้การที่ไม่ได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้ง (ซึ่งจะฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง) ศาลฎีกาจะไม่อนุญาตให้แก้ไข! (ฎีกาที่ 2236/2545)
  • ความสำคัญ: การแก้ไขคำให้การต้องรักษาความสอดคล้องและความชัดเจนของข้อต่อสู้ไว้ ศาลจะไม่ยอมให้แก้ไขหากการแก้ไขนั้นจะทำให้เกิดความสับสน หรือเป็นการหลีกเลี่ยงการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยตรง

คำแนะนำจาก ฎีกาศึกษา

เพื่อการแก้ไขคำให้การที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ:

1.         ประเมินสถานะคดี: ตรวจสอบขั้นตอนของคดีปัจจุบันว่าอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการยื่นคำร้องขอแก้ไขหรือไม่

2.         ตรวจสอบความสอดคล้อง: สำคัญที่สุดคือ ต้องทบทวนอย่างละเอียดว่าข้อความที่ต้องการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับข้อความเดิม จนทำให้คำให้การขาดความชัดเจนหรือฝ่าฝืนหลักการปฏิเสธข้อเท็จจริง

3.         เตรียมเหตุผลสนับสนุน: ระบุเหตุผลความจำเป็นในการแก้ไขให้ชัดเจนและสมเหตุสมผลในคำร้องขอ เพื่อประกอบการพิจารณาของศาล

4.         แนบหลักฐาน (ถ้ามี): หากการแก้ไขเกิดจากการพบหลักฐานใหม่ ควรแนบสำเนาหลักฐานนั้นไปด้วย เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้คำร้อง