คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๑/๒๕๖๓ 

               พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๗ เป็นกฎหมายที่ประสงค์ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้วางมัดจำ ศาลสามารถนำมาปรับใช้กับสัญญาทั่ว ๆ ไปที่มีการให้สิ่งใดเป็นมัดจำได้ มิได้จำกัดเฉพาะสัญญาที่เข้าเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๓ เท่านั้น

               การปรับลดมัดจำต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของมาตรา ๓๗๗ ที่ต้องการให้มัดจำเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญา รวมทั้งต้องคำนึงถึงว่าฝ่ายที่วางมัดจำมีส่วนผิดหรือไม่ด้วย ซึ่งก็ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงในแต่ละคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทและเลิกสัญญากันหลายครั้ง ซึ่งสาเหตุที่ต้องเลิกสัญญาและทำสัญญากันใหม่นั้น เพราะโจทก์ไม่มีเงินพอที่จะชำระราคาที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่จำเลย แสดงว่าโจทก์เองเป็นฝ่ายผิดสัญญาตลอดมา การที่จำเลยยอมให้โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายฉบับใหม่แทนฉบับเดิมและยอมให้โจทก์นำมัดจำตามสัญญาครั้งก่อน ๆ ที่เลิกกันแล้วมารวมเป็นมัดจำตามสัญญาที่ทำกันใหม่ทั้ง ๆ ที่จำเลยสามารถรับมัดจำตามสัญญาครั้งก่อนได้เช่นนี้ นับเป็นการให้โอกาสและเป็นคุณแก่โจทก์อย่างมากแล้ว แต่โจทก์กลับไม่นำพาที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำไว้กับจำเลย กรณีจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะลดมัดจำที่ถึงแม้จะสูงเกินส่วนลง

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

               มาตรา ๓๗๗ เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่ง มัดจำนี้ย่อมเป็น ประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย

                    มาตรา ๓๗๘ มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ 

                    (๑) ให้ส่งคืน หรือจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนในเมื่อชำระหนี้

                    (๒) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดชอบ หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะ ความผิดของฝ่ายนั้น

                    (๓) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ