คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๘๒/๒๕๖๐ 

               โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ดินพิพาทแต่ไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทน โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนอีกต่อไป ขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทหรือชดใช้ราคาแทน จำเลยให้การและฟ้องแย้งตอนแรกว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยการซื้อขาย เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการซื้อขายไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ แต่จำเลยกลับให้การและฟ้องแย้งตอนหลังว่า ที่ดินพิพาทเป็นของหมั้นตกเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ผิดสัญญาหมั้นไม่ยอมสมรสกับจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน นอกจากนี้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและแก้ฟ้องแย้งอีกว่า โจทก์มอบที่ดินพิพาทให้เพื่อตอบแทนการที่จำเลยยอมอยู่กินกับโจทก์ฉันสามีภริยา เท่ากับจำเลยอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการยกให้ตามสัญญาหมั้นและเป็นการให้โดยเสน่หา ดังนี้ เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเองว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทด้วยการซื้อขายหรือโจทก์ให้ตามสัญญาหมั้นหรือให้โดยเสน่หา เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงหลายทางไม่ชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงเป็นในทางหนึ่งทางใดและไม่เป็นการที่จำเลยให้การเพื่อลำดับการได้มาของกรรมสิทธิ์ ดังนี้ เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ

 

               จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยให้การว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินมาด้วยการซื้อขายและให้การว่าโจทก์ให้เป็นของหมั้นทั้งยังมีการให้ต่างตอบแทนโดยการที่จำเลยอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์เป็นกระเป็นการให้การเพื่อลำดับการได้มาของกรรมสิทธิ์ในที่ดินถึงแม้จะระดับไว้ก่อนก็เพิ่มเป็นยาวิเศษฟ้องโจทก์ตามลำดับเท่านั้นแต่เหตุแห่งการปฏิเสธจะสอดคล้องกับคำให้การของหน่วยที่กล่าวมาในลำดับถัดไปซึ่งเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อนนั้น ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่เป็นการที่จำเลยให้การเพื่อลำดับการได้มาของกรรมสิทธิ์ เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้ง

               คำให้การที่ขัดแย้งกันเอง  ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นนำสืบตามข้อต่อสู้(ฎีกาที่ ๗๗๑๔/๒๕๔๗)

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

               มาตรา ๑๗๗ เมื่อได้ส่งหมายเรียกและคำฟ้องให้จำเลยแล้ว ให้จำเลยทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวัน

               ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

               จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก

               ให้ศาลตรวจดูคำให้การนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้คืนไปหรือสั่งไม่รับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘

               บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ ให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกที่ถูกเรียกเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดตามมาตรา ๕๗ (๓) โดยอนุโลม