คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๒๔/๒๕๖๐
               ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ร่วมยื่นคำร้องและแถลงประกอบว่าขอถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกงเนื่องจากโจทก์ร่วมได้รับชดใช้ค่าเสียหายครบจากจำเลย โจทก์ร่วมไม่ประสงค์ดำเนินคดีแพ่งกับจำเลยอีกต่อไป ตลอดจนขอสละส่วนดอกเบี้ยตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง โจทก์และจำเลยแถลงไม่คัดค้าน ดังนี้ ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ร่วมจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อโจทก์ร่วมถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานนี้ย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒)
               เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงระงับไป ย่อมทำให้คำขอในคดีส่วนแพ่งของโจทก์ตกไปด้วย ทั้งโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแพ่งกับจำเลยอีกต่อไป โจทก์และโจทก์ร่วม ไม่อาจขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วมได้อีก ทั้งโจทก์ร่วมแถลงสละส่วนดอกเบี้ยตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาเห็นสมควรยกคำขอในส่วนคดีแพ่งของโจทก์และโจทก์ร่วมด้วย

               ตามฎีกานี้ ศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำขอให้จำเลยใช้เงิน ๘๙๓,๗๒๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย แก่โจทก์ร่วม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
               มาตรา ๓๙ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้ 
               (๒) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย 
               มาตรา ๑๒๖ ผู้ร้องทุกข์จะแก้คำร้องทุกข์ระยะใด หรือจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้    ในคดีซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัว การถอนคำร้องทุกข์เช่นนั้นย่อมไม่ตัดอำนาจพนักงานสอบสวนที่จะสอบสวน หรือพนักงานอัยการที่จะฟ้องคดีนั้น