คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๖๖/๒๕๔๗

               จำเลยใช้มีดสปาต้ายาวประมาณ ๑ ศอก นับว่าเป็นมีดขนาดใหญ่ ซึ่งอาจใช้เป็นอาวุธฟันทำอันตรายแก่บุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้ และจำเลยเข้าไปฟันใบหน้าในขณะผู้เสียหายนอนอยู่ไม่ทันได้ระวังตัว ซึ่งจำเลยสามารถที่จะฟันโดยแรงให้ผู้เสียหายมีแผลฉกรรจ์ได้ แต่แผลที่ผู้เสียหายได้รับที่ดั้งจมูกยาวเพียง ๒ เซนติเมตร ที่ศีรษะด้านหลังยาวเพียง ๓ เซนติเมตร บาดแผลทั้งสองแห่งเป็นบาดแผลตื้นใช้เวลารักษาประมาณ ๑๕ วันเท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟันโดยแรง แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงแก่ ชีวิต ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงฟังเพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ผิดฐาน ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย

 

เพิ่มเติม

               ฎีกาที่ ๒๐๒๑/๒๕๕๔ จำเลยใช้มีดขนาดยาวประมาณ  ๑ ช่วงแขน ฟันผู้เสียหายที่ไหล่ขวา ขณะหันหลังวิ่งหนีและฟันอย่างแรงจนเกิดบาดแผลยาวประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ลึกประมาณ ๔ เซนติเมตร ลักษณะการฟันเช่นนี้ส่อว่าจำเลยเลือกฟันศีรษะแต่พลาดไปโดนไหล่ขวาแทน จำเลยย่อมต้องเล็งเห็นแล้วว่าหากเลือกฟันถูกศีรษะหรือลำคอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

 

ประมวลกฎหมายอาญา

               มาตรา ๕๙ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

               กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้