จำเลยเห็นผู้ตายขณะมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลยจึงเข้าไปชกต่อยต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อจำเลยเพลี่ยงพล้ำ ภริยาจำเลยและผู้ตายรีบสวมใส่กางเกง แล้วภริยาจำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์และเรียกผู้ตายขึ้นรถ ผู้ตายก็รีบไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ภริยาจำเลยขับออกไป เช่นนี้ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยวิ่งตามไปทันทีแล้วใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนได้ แต่เป็นการกระทำต่อเนื่องกระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่จำเลยเห็นผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๗๒ หาใช่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุไม่

                ตามฎีกานี้มีข้อเท็จจริงว่า ภริยาจำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้ตายนั่งซ้อนท้ายออกไปห่างจากกระท่อมประมาณ ๕๐ เมตร ก็ได้ยินเสียงไม้ตีอยู่ด้านหลังทำให้ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ รถจักรยานยนต์จึงล้มลง ภริยาจำเลยวิ่งไปบริเวณป่ามันสำปะหลังแล้วมองกลับมาเห็นจำเลยกับผู้ตายต่อสู้กัน ผู้ตายล้มลงและพูดว่า “ยอมแล้ว ยอมแล้ว” แต่จำเลยยังใช้ไม้ตีลำตัวผู้ตายจนเสียงต่อสู้สงบลง

เพิ่มเติม
                การกระทำความผิดอันจะเข้าเหตุเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้ ต้องเป็นกรณีที่ผู้ใดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น(ฎีกาที่ ๑๑๙๖๖/๒๕๕๓, ๒๘๖๕/๒๕๕๓) แต่ต่างคนต่างก็ทะเลาะด่าว่าซึ่งกันและกัน ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม(ฎีกาที่ ๑๓๓๒/๒๕๕๓) ส่วนถ้อยคำที่ผู้ตายพูดกับจำเลยที่เป็นคำก้าวร้าว หยาบคายเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่จะกล่าวออกมา และเป็นที่ระคายเคืองแก่จำเลยอยู่บ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม(ฎีกาที่ ๔๒๗๐/๒๕๕๒)
                ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี ซึ่งมีอัตราโทษขั้นต่ำจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ ซึ่งความผิดดังกล่าวศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ กรณีจึงไม่มีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำ(ฎีกาที่ ๑๑๘๑๗/๒๕๕๖) โดยเหตุบันดาลโทสะอาจเกิดเพราะคำบอกเล่าได้ ไม่จำเป็นต้องประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง และเมื่อได้รับคำบอกเล่าแล้วก็ทำร้ายผู้ตายทันที(ฎีกาที่ ๖๗๘๘/๒๕๕๔)
                ฎีกาที่ ๓๕๘๓/๒๕๕๕ จ. เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยซึ่งจำเลยย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำการป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงของตนโดยมิให้ชายอื่นมามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับภรรยาของตนได้ แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยพบเห็น จ. นอนหนุนตักผู้ตายและกอดจูบกันเท่านั้นโดยยังไม่มีการร่วมประเวณีกัน และการที่ผู้ตายกระทำต่อ จ. ดังกล่าวก็เป็นไปโดย จ. สมัครใจยินยอม พฤติการณ์เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ซึ่งจำเลยจำต้องกระทำการป้องสิทธิแต่อย่างใด แต่การที่ผู้ตายกับ จ. กอดจูบกันเช่นนี้ นับเป็นการกระทำที่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมเหลือวิสัยของจำเลยที่จะอดกลั้นโทสะไว้ได้ จึงเข้าไปชกต่อยผู้ตายแล้วใช้มีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ใกล้ตัวแทงผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒ ไม่ใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ประมวลกฎหมายอาญา
              มาตรา ๗๒  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
                มาตรา ๒๘๘  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี