คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๒๐/๒๕๖๓

                    แม้ตาม ป.วิ.อ. จะมิได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายใดก็ตาม แต่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕ บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้ และตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔/๑ บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ อันเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ แต่อ้างเหตุลดหย่อนโทษว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวย่อมตกแก่จำเลยที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่า ผู้เสียหายข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอย่างไร อันจะทำให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒

 

                    ตามฎีกานี้ ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของจำเลยคงได้ความแต่เพียงว่า ขณะจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณที่เกิดเหตุได้ยินเสียงคนร้องเรียก ซึ่งจำเลยคิดว่าคือผู้เสียหายเรียกจำเลยว่า มึงคือชั่วแท้ แต่จนกระทั่งปัจจุบันจำเลยยังไม่ทราบว่า ใครเป็นคนร้องเรียกจำเลยดังกล่าว และได้ความจากนายสีไสย ประจักษ์พยานอีกปากหนึ่งของจำเลย เบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า เมื่อพยานเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา พยานตะโกนเรียกจำเลย โดยผู้เสียหายไม่ได้ตะโกนเรียกเพราะผู้เสียหายไม่น่าจะเห็นจำเลย เนื่องจากผู้เสียหายนั่งหันหลังให้กับถนน และในวันเกิดเหตุพยานไม่ได้ยินว่ามีใครตะโกนเรียกจำเลยในลักษณะด่า คงมีเพียงพยานตะโกนเรียกจำเลยเพื่อชวนดื่มสุราเท่านั้น อันทำให้ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของจำเลยถูกหักล้างโดยพยานจำเลยเอง พยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยและไม่เพียงพอให้รับฟังว่า ผู้เสียหายร้องด่าจำเลยว่า มึงคือชั่วแท้ หรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม พยานหลักฐานจำเลยฟังไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายนั้น

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                    มาตรา ๘๔/๑ คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว