คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๑๗๒/๒๕๖๓ 

               ผู้ร้องยื่นคำร้องเพื่อใช้สิทธิทางศาลโดยมีคำขอท้ายคำร้อง ขอให้มีคำสั่งว่ากรณีมีเหตุบังคับหลักประกันทางธุรกิจและมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันส่งมอบ ให้แก่ผู้ร้องเพื่อจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องต่อไป มีลักษณะเป็นคำร้องให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยอาศัยบุริมสิทธิของผู้ร้องในฐานะผู้รับหลักประกัน ตามวิธีการพิเศษที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔๖ เมื่อมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันและนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องแล้ว ย่อมมีผลให้หนี้ระงับสิ้นไปตามราคาขายทอดตลาดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันอันเป็นการบังคับชำระหนี้ที่มีอยู่เป็นคุณแก่ผู้ร้อง ดังนี้ คำร้องของผู้ร้องเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๐ วรรคหนึ่ง มีลักษณะทำนองเดียวกับคำฟ้องขอให้บังคับจำนอง ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องตามตาราง ๑ ข้อ ๑ (ค) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔ วรรคสอง

 

ตาราง ๑ ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล)

               (๑) คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ให้คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ ดังต่อไปนี้ (ค) คำฟ้องขอให้บังคับจำนอง หรือบังคับเอาทรัพย์สินจำนองหลุด  ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าสิบล้านบาท อัตรา ร้อยละ ๑ ของจำนวนหนี้ที่เรียกร้องแต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท

 

พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ 

               มาตรา ๔๖ เมื่อมีเหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ หากผู้ให้หลักประกันหรือผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไม่ยินยอมส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันผู้รับหลักประกันอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาบังคับหลักประกัน โดยให้ระบุในคำร้องด้วยว่าจะบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหลุดเป็นสิทธิ หรือโดยจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อนำเงินมาชำระหนี้