คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๕๙๖/๒๕๖๒ 

               จำเลยยักยอกรถยนต์ที่ผู้เสียหายเช่าซื้อขณะอยู่ในความครอบครองใช้ประโยชน์ของผู้เสียหาย ย่อมทำให้ผู้เสียหายได้รับความ เสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยและมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานยักยอกรถยนต์ได้

 

หมายเหตุ

               ๑.ตามฎีกานี้ โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในส่วนความผิดอาญา และพิพากษาแก้ในส่วนให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหาย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน

               ๒.จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้เสียหายเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยและมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย”

               ๓.ฎีกาที่ ๗๙๖๐/๒๕๕๑ แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะมีข้อสัญญาห้ามมิให้ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปจำหน่ายให้แก่บุคคลอื่นก็ตาม ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ให้เช่าซื้อกับผู้เสียหายซึ่งจะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่ง ทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าผู้เสียหายแจ้งให้บริษัทผู้ให้เช่าซื้อทราบแล้วว่าจะทำสัญญาเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อเป็นจำเลย เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์แก่จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายโดยตรง โดยผู้เสียหายไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงด้วย อีกทั้งขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์จากรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะผู้เช่าซื้อ จึงเป็นผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๔) ผู้เสียหายจึงมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

               มาตรา ๒ ในประมวลกฎหมายนี้

               (๔) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๔, ๕ และ ๖