คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๕๖/๒๕๖๑
               โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยได้รับเงินกู้ยืมไปครบถ้วนแล้ว จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้กู้ยืมเงินโจทก์และไม่ได้รับเงินไปจากโจทก์ เท่ากับจำเลยให้การว่าสัญญาจำนองที่โจทก์อ้างเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินตามคำฟ้องซึ่งเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๐ และการนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงอันเป็นมูลเหตุและความประสงค์ที่ทำสัญญาเพื่อแสดงว่าไม่มีมูลหนี้ที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ประการหนึ่ง และหนี้เงินกู้ตามที่ระบุในหนังสือสัญญาจำนองไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ไม่ได้ส่งมอบเงินที่กู้ให้จำเลยอีกประการหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจำนองซึ่งโจทก์อ้างเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินตามคำฟ้องไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ วรรคท้าย
               แม้หนังสือสัญญาจำนองระบุว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ๓,๐๐๐,๐๐๐บาท แต่โจทก์ส่งมอบเงินที่กู้ให้แก่จำเลยเพียง ๗๖๒,๕๐๐ บาท ดังนี้โจทก์ชอบที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ ๙๖๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามหนังสือสัญญาจำนองนับแต่วันที่จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ หาใช่ว่าสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ทั้งหมดไม่

                    ตามฎีกานี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์จ่ายแคชเชียร์เช็คจำนวน ๙๖๒,๕๐๐ บาท แก่จำเลย ส่วนข้อเท็จจริงว่า โจทก์จ่ายเงินสดจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลย พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
               มาตรา ๙๔ เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี    (ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง
               (ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอ
               แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (๒) แห่งมาตรา ๙๓ และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด