โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่ดินสามโฉนดจากจำเลยซึ่งเป็นบุตร จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยมิได้ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์
และที่ดินโฉนดหนึ่งไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ แต่เป็นทรัพย์มรดกของจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นคดีมีทุนทรัพย์
และต้องแยกพิจารณาที่ดินแต่ละแปลงออกต่างหากจากกันว่าโจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่ดินแต่ละแปลงเพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณได้หรือไม่
ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้น
อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง จึงต้องแยกคำนวณตามราคาที่ดินพิพาทแต่ละแปลง หาใช่คำนวณรวมกัน
โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่
๑๔๘๓๔ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๓ งาน ๖๓ ตารางวา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คืนให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเนื้อที่ ๓ งาน ๖๓ ตารางวา
ไม่เต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค
๓ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงฝ่ายเดียว
ทุนทรัพย์ที่พิพาทชั้นอุทธรณ์ในส่วนของที่ดินเท่ากับเนื้อที่ ๓ งาน ๖๓ ตารางวา
เมื่อที่ดินทั้งแปลงมีราคาประเมิน ๗๒,๙๐๐
บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ของที่ดิน เท่ากับ ๓๔,๖๔๒.๔๓
บาท ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งคดีนี้เป็นคดีเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยผู้รับประพฤติเนรคุณ มิใช่เป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว
จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
จำเลยด่าโจทก์ว่า “ไอ้แก่หัวหงอก
กูไม่นับถือมึง มึงไปตายไหนก็ไป ออกไปให้พ้น มึงอยู่ที่ไหนได้ก็ไป” เป็นถ้อยคำหยาบคาย ไม่สุภาพ
แสดงถึงการไม่ให้ความเคารพโจทก์ อันเป็นการไม่สมควรที่บุตรจะกล่าวต่อบิดาเช่นนั้น
ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง
โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๓๗๒๘๘ และเลขที่ ๕๕๔๔๒
จากจำเลย เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้
ตามฎีกานี้ การให้บางกรณีไม่อาจเรียกคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณได้
จึงต้องแยกคำนวณตามราคาที่ดินพิพาทแต่ละแปลง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๕๓๑
อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น
ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้
(๒) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง
หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๕๐ ในคดีที่คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์นั้นอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องหรือราคาทรัพย์สินที่พิพาท
มาตรา ๒๒๔ ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท
หรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
เว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้
หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาชั้นต้นหรืออธิบดีผู้
พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ
แล้วแต่กรณี
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิได้ให้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวและคดี
ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
เว้นแต่ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจาก
อสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
การขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้
ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ศาลส่งคำร้อง พร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง

0 Comments
แสดงความคิดเห็น