คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๐/๒๕๖๓ 

               โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เนื่องมาจาก การซื้อที่ดินพิพาทจาก ห. บิดาของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ และที่ดินพิพาทขณะนั้นเป็นเพียงที่ดินมีสิทธิครอบครอง การซื้อขายย่อม สมบูรณ์เพียงมีการส่งมอบการครอบครอง ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๘ แม้ที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน ๕ ปี ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๑๒ นับแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเมื่อปี ๒๕๓๓ ยังอยู่ภายในกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย มีผลทำให้การโอนที่ดินพิพาทเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ แต่เมื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เป็นการยึดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน คือนับแต่ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เป็นต้นไป การที่จำเลยที่ ๑ นำที่ดินพิพาทไปขอออกโฉนดที่ดิน เป็นการออกโฉนดที่ไม่ชอบ แม้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ ไม่ว่าจำเลยที่ ๒ จะสุจริต และเสียค่าตอบแทนก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่

 

               ตามฎีกานี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษายืน

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

               มาตรา ๑๓๖๗ บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง 

               มาตรา ๑๕๐ การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ

 

พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.๒๕๑๑

               มาตรา ๑๒ ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดก หรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ แล้วแต่กรณี

               ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ที่ดินนั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี