คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๐/๒๕๖๓ 

               เดิมที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องครอบครองเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งการครอบครองที่ดินที่จะได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทในขณะที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิไม่อาจถือได้ว่าเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น เนื่องจากยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เมื่อผู้ร้องอ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดเรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ ทางราชการออกโฉนดที่ดินที่พิพาทแก่ผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ การนับระยะเวลาครอบครองที่พิพาทต้องเริ่มนับแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ ซึ่งถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นต้นไป

 

เพิ่มเติม

               ฎีกาที่ ๖๑๘๒/๒๕๕๘ ผู้ร้องอ้างว่าบิดาผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ที่ดินพิพาทยังไม่มีเอกสารสิทธิ และบิดาผู้ร้องได้ยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้อง แม้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดในภายหลังก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องเข้าแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่เมื่อใด คงได้ความเพียงว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทของตนเองตลอดมา ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของตนเองได้ เพราะการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นเท่านั้น ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

               มาตรา ๑๓๘๒ บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์