หลักกฎหมายการครอบครองปรปักษ์
บทที่ ๑
หลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๘๒)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๘๒ บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี
ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้
ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
องค์ประกอบของการครอบครองปรปักษ์
๑.
บุคคลผู้ครอบครอง
·
บุคคลใด: ผู้ครอบครองอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ เช่น วัด
(ฎีกาที่ ๑๔๗๙-๑๔๘๐/๒๕๒๔), หรือคนต่างด้าว (ฎีกาที่
๕๐๑๖/๒๕๕๕)
·
อย่างไรก็ตาม
หน่วยที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน
ไม่สามารถครอบครองที่ดินโดยปรปักษ์ได้ (ฎีกาที่ ๘๔/๒๕๑๒)
๒.
ทรัพย์สินที่ถูกครอบครอง
Ø ต้องเป็นทรัพย์สินที่มีกรรมสิทธิ์: การครอบครองปรปักษ์จะเกิดขึ้นได้เฉพาะในทรัพย์สินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว
เช่น ที่ดินที่มีโฉนด หรือโฉนดตราจอง (ฎีกาที่ ๑๕๕๗/๒๕๔๙)
Ø ต้องเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น: ผู้ครอบครองจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ในทรัพย์สินของตนเองไม่ได้
(ฎีกาที่ ๔๘๔๓/๒๕๔๕)
·
หากผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินอยู่แล้ว
โดยใส่ชื่อบุคคลอื่นถือกรรมสิทธิ์แทน
จะไม่สามารถยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองได้ (ฎีกาที่ ๑๒๘๙๕/๒๕๕๕)
·
กรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าตนเองได้สิทธิครอบครองในที่ดินมาก่อนที่จะมีการออกโฉนด
เช่น ครอบครองมาตั้งแต่ที่ดินยังเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
ถือเป็นการยืนยันความเป็นเจ้าของมาแต่ต้น จึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้
(ฎีกาที่ ๕๓๘๔/๒๕๖๕)
Ø การครอบครองโดยเข้าใจผิด:
·
แม้ผู้ครอบครองจะเข้าใจผิดว่าที่ดินที่ตนครอบครองเป็นของตนเอง
แต่ความจริงเป็นที่ดินของผู้อื่น ก็สามารถนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ได้
ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นตั้งแต่แรก (ฎีกาที่ ๖๑๕๑/๒๕๕๘, ๙๔๕๕/๒๕๕๘)
·
ในทางกลับกัน
หากเข้าไปครอบครองที่ดินโดยเห็นว่าเป็นที่ดินว่างเปล่าและเข้าใจว่าไม่มีเจ้าของ
จะไม่ถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นเพื่ออ้างการครอบครองปรปักษ์
(ฎีกาที่ ๓๕๖๕/๒๕๖๕)
Ø การครอบครองที่ดินมือเปล่าที่ต่อมามีโฉนด: หากมีการซื้อที่ดินมือเปล่าและเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ
ต่อมาผู้ขายนำที่ดินส่วนนั้นไปรวมออกโฉนดเป็นชื่อของตน
ผู้ซื้อซึ่งยังคงครอบครองที่ดินนั้นอยู่โดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ
สามารถเริ่มนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ได้ตั้งแต่วันที่ออกโฉนดเป็นต้นไป
(ฎีกาที่ ๔๖๗๖/๒๕๖๐, ๕๘๐๑/๒๕๔๔)
๓.
ลักษณะการครอบครอง
·
การยึดถือครอบครอง: ต้องเป็นการเข้าไปยึดถือครอบครองตามความเป็นจริง เช่น
อยู่อาศัย ทำประโยชน์ และแสดงอาณาเขตอย่างชัดเจน การมีชื่อในโฉนดหรือเสียภาษีบำรุงท้องที่เพียงอย่างเดียวไม่ถือเป็นการครอบครอง
(ฎีกาที่ ๒๒๓๐/๒๕๔๒)
Ø กรณีไม่ถือว่ามีการครอบครอง: หากที่ดินเป็นที่ว่างเปล่า มีหญ้าขึ้นรก
ไม่ได้เข้าทำประโยชน์อย่างจริงจัง แม้จะทำรั้วรุกล้ำเข้าไปนานเกิน 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ (ฎีกาที่ ๔๘๖/๒๕๔๒) การสร้างเพียงรั้วกำแพงหรือตอม่อเสาสัญญาณ
ไม่ถือเป็นการเข้าครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ (ฎีกาที่ ๒๔๐๐/๒๕๖๖)
·
โดยความสงบ: หมายถึง การครอบครองโดยไม่ถูกฟ้องร้องหรือถูกกำจัดให้ออกไป
(ฎีกาที่ ๗๗๒/๒๕๐๕)
Ø การโต้เถียงสิทธิกัน (ฎีกาที่ ๓๘๖๔/๒๕๕๔), การร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการ (ฎีกาที่
๑๕๖๗๖/๒๕๕๖), หรือการที่เจ้าของเดิมนำที่ดินไปจำนอง (ฎีกาที่
๓๔๖/๒๕๖๔) ไม่ถือว่าทำให้การครอบครองนั้นไม่สงบ
Ø กรณีที่ไม่สงบ: การถูกเจ้าหนี้ยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด
(ฎีกาที่ ๓๕๔/๒๕๖๔), การแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี
(ฎีกาที่ ๑๐๐๖๑/๒๕๕๕), หรือการครอบครองในระหว่างที่มีคดีฟ้องร้องกันอยู่
(ฎีกาที่ ๑๐๙๓/๒๕๑๗)
Ø หากความไม่สงบเกิดขึ้นหลังจากครอบครองครบ 10 ปีแล้ว
ไม่มีผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์ที่ได้มาแล้ว (ฎีกาที่ ๒๐๓๙/๒๕๕๑)
·
โดยเปิดเผย: การครอบครองต้องไม่ถูกซ่อนเร้นหรือปกปิดเช่น
การสร้างฐานรากของโรงเรือนรุกล้ำใต้ดิน ถือเป็นการครอบครองที่ไม่เปิดเผย (ฎีกาที่
๕๒๓๘/๒๕๔๖)
·
ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ: เป็นการแสดงออกถึงการยึดถือทรัพย์สินเพื่อตนเอง
Ø การไม่เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (ฎีกาที่ ๔๘๖/๒๕๔๒, ๒๒๓๐/๒๕๔๒) หรือการปลูกสร้างบ้านชั่วคราวที่ไม่มั่นคงแข็งแรงในลักษณะของชุมชนแออัด
อาจบ่งชี้ว่าไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของ (ฎีกาที่ ๓๓๔๓/๒๕๕๓)
Ø การซื้อที่ดินมาและเข้าครอบครองอยู่อาศัย
ถือเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ (ฎีกาที่ ๔๖๗๖/๒๕๖๐)
๔.
ระยะเวลาการครอบครอง
·
อสังหาริมทรัพย์: ต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี
·
สังหาริมทรัพย์: ต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี
·
การนับระยะเวลา: เริ่มนับเมื่อมีองค์ประกอบครบถ้วน
โดยเฉพาะการครอบครองที่ดินมีโฉนด
จะเริ่มนับระยะเวลาได้ตั้งแต่วันที่ออกโฉนดเป็นต้นไป
ไม่สามารถนับระยะเวลาที่ครอบครองก่อนออกโฉนดรวมเข้ามาได้ (ฎีกาที่ ๖๗๗/๒๕๕๐)
·
การสิ้นสุดของระยะเวลา: ระยะเวลาการครอบครองจะสะดุดหยุดลง
หากที่ดินถูกโอนไปยังบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน
และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ผู้ครอบครองจะต้องเริ่มนับระยะเวลาใหม่
(ฎีกาที่ ๘๗๐๐/๒๕๕๐) เมื่อมีผู้รับโอนโดยสุจริตคนแรกแล้ว
สิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ย่อมขาดตอน และผู้รับโอนคนต่อๆ มา
ไม่จำเป็นต้องสุจริตก็ได้ (ฎีกาที่ ๘๘๗๓/๒๕๕๙)
ผลของการครอบครองปรปักษ์
- การได้กรรมสิทธิ์: เมื่อครอบครองครบตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ผู้ครอบครองย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นโดยผลของกฎหมายทันที
- การยอมรับกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นภายหลัง: การยอมรับอำนาจกรรมสิทธิ์ของเจ้าของเดิม (เช่น
ตกลงจะขอซื้อที่ดิน) หลังจากที่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ได้มา (ฎีกาที่ ๖๔๖๘/๒๕๕๔)
- การสละกรรมสิทธิ์: แม้จะได้กรรมสิทธิ์มาแล้ว
ผู้ครอบครองก็อาจสละเจตนาครอบครองหรือสละกรรมสิทธิ์นั้นได้ เช่น
การยอมรับแนวเขตที่ดินของผู้อื่นในการรังวัด (ฎีกาที่ ๗๓๘๒/๒๕๔๘)
- การตกทอดทางมรดก: สิทธิในการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว
สามารถตกทอดแก่ทายาทได้ (ฎีกาที่ ๑๒๗๓๕/๒๕๕๕)
บทที่ ๒
การเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๘๑)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๘๑ บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง
บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้
ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป
หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก
หลักการสำคัญ
ผู้ที่ครอบครองทรัพย์สินแทนผู้อื่น
จะไม่สามารถอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้ เว้นแต่จะได้ทำการ “เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ”
โดยการบอกกล่าวเจตนาไปยังเจ้าของทรัพย์สินว่าจะไม่ยึดถือแทนอีกต่อไป
แต่จะยึดถือเพื่อตนเองการบอกกล่าวนี้ถือเป็นการแย่งการครอบครองตามมาตรา ๑๓๗๕ ด้วย
(ฎีกาที่ ๗๖๗๔/๒๕๔๐, ๕๖๙๗/๒๕๕๓)
กรณีที่ถือว่าเป็นการครอบครองแทนผู้อื่น
บุคคลที่ยึดถือทรัพย์สินในสถานะต่อไปนี้
ถือเป็นการครอบครองแทนเจ้าของ:
Ø ผู้จัดการมรดก: ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาททุกคน
(ฎีกาที่ ๑๓๒๓/๒๕๖๖, ๗๘๗/๒๕๒๔)
Ø ทายาทและเจ้าของรวม: ทายาทคนหนึ่งที่ครอบครองทรัพย์มรดก 43หรือเจ้าของรวมคนหนึ่งที่ครอบครองที่ดิน
ถือว่าครอบครองแทนทายาทหรือเจ้าของรวมคนอื่นด้วย (ฎีกาที่ ๘๒๒/๒๔๙๙, ๒๔๓๔/๒๕๔๙)
Ø ผู้เช่า: ครอบครองทรัพย์สินที่เช่าแทนผู้ให้เช่า
(ฎีกาที่ ๒๙๗๔-๒๙๗๕/๒๕๕๒)
Ø ผู้อาศัย: ผู้ที่เจ้าของอนุญาตให้อยู่อาศัยหรือทำกิน
(ฎีกาที่ ๖๐๒๕/๒๕๕๑, ๑๕๗๙/๒๕๑๔)
Ø ผู้จะซื้อ: ผู้เข้าครอบครองที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย
ถือว่าครอบครองแทนผู้จะขายจนกว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ (ฎีกาที่ ๗๔๒๒-๗๔๒๖/๒๕๔๙)
Ø บิดามารดา: ครอบครองทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์
(ฎีกาที่ ๑๙๕๖/๒๕๒๒)
Ø ผู้รับโอนที่ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน: หากผู้โอนเป็นเพียงผู้ครอบครองแทน
ผู้รับโอนก็ย่อมอยู่ในฐานะผู้ครอบครองแทนเช่นเดียวกัน (ฎีกาที่ ๘๖๖๑/๒๕๔๔)
Ø ผู้ให้กู้: ผู้ที่รับมอบที่ดินไว้เป็นประกันหนี้หรือทำกินต่างดอกเบี้ย
(ฎีกาที่ ๒๙๐/๒๕๒๖), เว้นแต่สัญญาจะระบุให้ที่ดินตกเป็นของผู้ให้กู้หากไม่ชำระหนี้
(ฎีกาที่ ๑๒๐๘/๒๔๙๑)
Ø ผู้ขายฝาก: ผู้ขายฝากที่ยังคงครอบครองที่ดินอยู่หลังสัญญาขายฝากครบกำหนด
ถือว่าครอบครองแทนผู้ซื้อฝาก (ฎีกาที่ ๓๓๑๕/๒๕๕๒)
การบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ
การบอกกล่าวจะต้องเป็นการแสดงเจตนาโดยตรงไปยังผู้ครอบครองหรือเจ้าของ
การกระทำต่อบุคคลภายนอกไม่ถือว่าเป็นการบอกกล่าว
กรณีที่ไม่ถือว่าเป็นการบอกกล่าว
·
การยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดิน
(ฎีกาที่ ๑๗๒๔/๒๕๖๓) หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แม้เจ้าของจะยื่นคัดค้านก็ตาม
(ฎีกาที่ ๗๖๒๖/๒๕๔๒)
·
การนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัด
หรือแจ้งสิทธิในการขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ฎีกาที่ ๓๓๗/๒๕๖๔)
·
การปลูกบ้านหลังใหม่แทนหลังเดิม
(ฎีกาที่ ๗๗๒๑/๒๕๕๐)
·
การบอกกล่าวให้เจ้าของไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้
(ฎีกาที่ ๒๔๐๖/๒๕๖๑)
·
การทำสัญญาซื้อขายกันเองระหว่างผู้ครอบครองแทนกับบุคคลภายนอก
โดยไม่ได้แจ้งให้เจ้าของทราบ (ฎีกาที่ ๒๒๔๒/๒๕๖๕)
·
ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกเป็นชื่อของตนเองในฐานะส่วนตัว
(ฎีกาที่ ๖๔๒๙/๒๕๖๒, ๑๓๒๓/๒๕๖๖)
กรณีที่ถือว่าเป็นการบอกกล่าว
·
การโต้แย้งสิทธิโดยตรง:
·
การคัดค้านการรังวัดที่ดินของเจ้าของ
(ฎีกาที่ ๒๕๐๐/๒๕๒๔, ๓๒๔๓/๒๕๖๐)
·
การยื่นคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของเจ้าของ
(ฎีกาที่ ๓๖๕๖/๒๕๕๑)
·
การโต้แย้งกับเจ้าของที่ดินว่าเป็นที่ดินของตน
(ฎีกาที่ ๓๖๘/๒๕๐๐)
·
การแสดงเจตนาปฏิเสธสิทธิของเจ้าของ:
·
ผู้เช่าไม่ยอมจ่ายค่าเช่าและบอกผู้ให้เช่าไม่ต้องมาเก็บอีก
(ฎีกาที่ ๑๖๒๓/๒๕๒๒)
·
ผู้ขายฝากปฏิเสธไม่ทำสัญญาเช่ากับผู้ซื้อฝากหลังครบกำหนดไถ่ถอน
(ฎีกาที่ ๒๐๖๕/๒๕๓๓)
·
การสร้างรั้วรุกล้ำและปฏิเสธที่จะรื้อถอนเมื่อเจ้าของเจรจา
(ฎีกาที่ ๕๖๙๗/๒๕๕๓)
·
การดำเนินการทางกฎหมาย:
·
การฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้เจ้าของโอนที่ดินให้
(ฎีกาที่ ๓๓๐๗/๒๕๔๓)
·
การยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของเจ้าของ
(ฎีกาที่ ๑๖๕๑๓/๒๕๕๕)
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
- การบอกกล่าวแก่เจ้าของรวม: หากที่ดินมีเจ้าของรวมหลายคน
การบอกกล่าวแก่เจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งก็ถือว่าชอบแล้ว
ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวแก่ทุกคน (ฎีกาที่ ๓๘๖๙/๒๕๕๔)
- การบอกกล่าวแก่ทายาท: ในกรณีทรัพย์มรดก อาจต้องบอกกล่าวแก่ทายาททุกคน
เพื่อให้การเปลี่ยนลักษณะการยึดถือมีผลสมบูรณ์ (ฎีกาที่ ๑๔๘๘๒/๒๕๕๘, ๘๒๘๖/๒๕๔๔)
บทที่ ๓
การนับระยะเวลาครอบครองต่อเนื่อง (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๘๕)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๕
ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน
ผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้
ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้
ท่านว่าข้อบกพร่องนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้
หลักการสำคัญ
มาตรานี้อนุญาตให้ผู้รับโอนการครอบครองสามารถนับระยะเวลาการครอบครองของผู้โอนคนก่อน
รวมกับระยะเวลาของตนเองเพื่อให้ครบ 10 ปีตามเงื่อนไขการครอบครองปรปักษ์ได้
วิธีการโอนการครอบครอง
การโอนการครอบครองสามารถเกิดขึ้นได้หลายวิธี เช่น:
·
การซื้อขาย
(ฎีกาที่ ๑๙๘๑/๒๕๕๖, ๔๑๕๓/๒๕๓๙)
·
การยกให้
(ฎีกาที่ ๓๖๕๓/๒๕๔๑)
·
การรับมรดก
(ฎีกาที่ ๑๒๗๓๕/๒๕๕๕)
การนับระยะเวลาต่อเนื่อง
v กรณีนับรวมได้:
Ø ผู้รับโอนสามารถนับระยะเวลาของผู้โอนรวมได้
ไม่ว่าผู้โอนจะครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่ก็ตาม (ฎีกาที่ ๔๑๕๓/๒๕๓๙)
Ø หากผู้โอนได้ครอบครองปรปักษ์จนครบ 10 ปี ได้กรรมสิทธิ์แล้ว
การโอนนั้นถือเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ และผู้รับโอนย่อมได้กรรมสิทธิ์ไปด้วย (ฎีกาที่
๑๗๐/๒๔๙๙)
Ø ทายาทที่สืบสิทธิครอบครองต่อจากบิดามารดา
สามารถนับระยะเวลาครอบครองของบิดามารดารวมเข้าด้วยกันได้ (ฎีกาที่ ๘๐/๒๕๑๗)
Ø แม้การซื้อขายหรือยกให้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน
แต่หากมีการส่งมอบการครอบครองโดยเจตนาสละการครอบครองจากผู้โอนแล้ว
ผู้รับโอนก็สามารถนับระยะเวลาต่อเนื่องได้ (ฎีกาที่ ๖๑๙๒/๒๕๔๐)
v ข้อควรระวัง:
Ø หากการครอบครองของผู้โอนมีข้อบกพร่อง เช่น ไม่สงบ
หรือไม่เปิดเผย ข้อบกพร่องนั้นจะตกติดมาถึงผู้รับโอนด้วย
Ø หากผู้ครอบครองคนก่อนสละการครอบครองไปก่อนที่จะโอนให้ใคร
ต่อมามีบุคคลอื่นเข้าครอบครองใหม่
บุคคลนั้นจะไม่สามารถนับระยะเวลาของผู้ครอบครองคนเดิมมารวมได้ (อ้างอิงตำรา
ศ.บัญญัติ สุชีวะ)
Ø การอ้างสิทธินับระยะเวลาครอบครองรวมกันโดยอาศัยเหตุแห่งการรับมรดก
จะต้องบรรยายไว้ในคำร้องขอต่อศาลให้ชัดเจน มิฉะนั้นศาลอาจไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัย
(ฎีกาที่ ๗๖๗๗/๒๕๔๔)
ดาวน์โหลด หลักกฎหมายการครอบครองปรปักษ์
0 Comments
แสดงความคิดเห็น