คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๓๗/๒๕๖๒ 

               โจทก์และจำเลยมีเจตนาทำสัญญากู้ยืมเงินกัน แต่เนื่องจากจำเลยต้องการหลักประกันจึงให้โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้กู้ยืมเงิน โดยถือสัญญาขายฝากเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินครบกำหนดระยะเวลาไถ่ที่ขยายออกไปโจทก์ยังไม่อาจชำระหนี้ให้แก่จำเลย จำเลยนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารโดยให้โจทก์ชำระหนี้แก่ธนาคารโดยตรง และถือว่าเป็นการชำระหนี้แก่จำเลย ดังนี้ สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลย ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง

               สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืม เงินระหว่างโจทก์กับจำเลย โดยมีที่ดินพิพาทเป็นประกันและตกเป็นโมฆะ จึงต้องนำกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมกู้ยืมมาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ วรรคสอง เป็นผลให้โจทก์ยังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและมีสิทธิติดตามเอาคืนที่ดินพิพาทจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๖ กับมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยได้

               ตามคำฟ้องของโจทก์รับว่าโจทก์เป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อที่ตกลงให้จำเลยเป็นตัวแทนนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองกับธนาคารผู้รับจำนอง เมื่อธนาคารผู้รับจำนองไม่ทราบว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ การจำนองที่ดินพิพาทย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นตัวการ และมีผลให้โจทก์ต้องรับผิดต่อธนาคารผู้รับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๒ แม้ศาลจะพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ตาม ผลแห่งคำพิพากษาย่อมไม่กระทบไปถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดี จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา ๑๔๕

 

เพิ่มเติม

               นิติกรรมอำพราง ต้องมี ๒ นิติกรรม(ฎีกาที่ ๒๙๙๒/๒๕๕๘) ได้แก่

               ๑. นิติกรรมที่แสดงออก ซึ่งไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี และคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีผลในทางกฎหมาย เป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างคู่กรณีตามมาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง(ฎีกาที่ ๕๗๙๒/๒๕๕๘)

               ๒. นิติกรรมนิติกรรมที่ไม่เปิดเผย หรือที่ถูกอำพรางไว้ โดยคู่กรณีประสงค์จะใช้บังคับระหว่างกัน(ฎีกาที่ ๑๐๘๓๕/๒๕๕๖) และบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางตามมาตรา ๑๕๕ วรรคสอง(ฎีกาที่ ๓๕๔๘/๒๕๕๔)

               ๓. กระทำโดยคู่กรณีเดียวกัน(ฎีกาที่ ๕๒๓๖/๒๕๔๒)

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

               มาตรา ๑๕๕ วรรคสอง ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ

               มาตรา ๘๒๒ ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนไซร้ ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับ แล้วแต่กรณี

               มาตรา ๑๓๓๖ ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย