คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๑๗/๒๕๖๒ 

               แม้การเช่าทรัพย์สินนั้น ปกติผู้ให้เช่าย่อมเพ่งเล็งถึงคุณสมบัติของผู้เช่าว่าสมควรได้รับความไว้วางใจในการใช้และดูแลทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่ สิทธิของผู้เช่าจึงมีสภาพเป็นการเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตายสิทธิการเช่าตาม สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับสิ้นสุดลง และไม่เป็นมรดกตกทอดไปถึงทายาทก็ตาม แต่สัญญาเช่าซื้อไม่ใช่สัญญาเช่าทรัพย์ธรรมดา แต่มีคำมั่นว่าจะขาย ทรัพย์โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินกันเป็นครั้งคราวรวมอยู่ด้วย ถ้าผู้เช่าซื้อชำระเงินแก่ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วนตามเงื่อนไขก็จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น เพียงแต่การที่ผู้ให้เช่าซื้อจะให้บุคคลใดเช่าซื้อหรือไม่อาจพิจารณาคุณสมบัติของผู้เช่าซื้อว่ามีความสามารถที่จะชำระเงินให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดหรือไม่ โดยไม่ได้พิจารณาคุณสมบัติของผู้เช่าซื้อว่าสมควรได้รับความไว้วางใจในการใช้และดูแลทรัพย์สินที่เช่าซื้อหรือไม่ดังเช่นสัญญาเช่าทรัพย์ สิทธิที่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตาม สัญญาเช่าซื้อจึงไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว และไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ห้ามตัวการมอบหมายหรือเชิดบุคคลอื่นเป็นตัวแทนทำสัญญาเช่าซื้อแทนตัวการ ตัวการจึงอาจมอบหมายหรือเชิดบุคคลอื่นที่มีความสามารถจะชำระเงินให้แก่ผู้เช่าซื้อตามเงื่อนไขที่ผู้ให้เช่าซื้อกำหนดเป็นตัวแทนทำเช่าซื้อแทนตนเองได้ ดังนั้น การที่ผู้เสียหายที่ ๒ ขอให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถกระบะจากผู้เสียหายที่ ๑ แทนผู้เสียหายที่ ๒ โดยผู้เสียหายที่ ๒ เป็นผู้ชำระเงินดาวน์แล้วรับมอบการครอบครองรถที่เช่าซื้อและผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ ถือได้ว่าผู้เสียหายที่ ๒ มอบหมายหรือเชิดจำเลยเป็นตัวแทนในการทำสัญญาเช่าซื้อรถกระบะจากผู้เสียหายที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑ โดยผู้เสียหายที่ ๒ เป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ หาใช่ว่านิติสัมพันธ์ระหว่างผู้เสียหายที่ ๒ กับจำเลยไม่ใช่เรื่องตัวการตัวแทน แต่อย่างใดไม่

               แม้จำเลยมีชื่อเป็นผู้เช่าซื้อ แต่จำเลยเป็นเพียงตัวแทนของผู้เสียหายที่ ๒ แล้วมอบรถที่เช่าซื้อให้แก่ผู้เสียหายที่ ๒ไปแล้ว ผู้เสียหายที่ ๒ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองรถที่เช่าซื้อ ส่วนจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองรถที่เช่าซื้อ แม้ต่อมาผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งตกลงจะให้จำเลยกู้ยืมเงินเพื่อตอบแทนที่จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถแทนผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงกับจำเลยให้ครบถ้วน ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จำเลยจะเอารถที่เช่าซื้อคืนจากผู้เสียหายที่ ๒ การที่จำเลยเอารถที่เช่าซื้อไปจากผู้เสียหาย ที่ ๒ เพื่อเรียกร้องให้ผู้เสียหายที่ ๒ ปฏิบัติตามข้อตกลงเป็นการแย่งการครอบครองและเป็นการบังคับสิทธิทางแพ่งของตนโดยพลการ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว แม้ต่อมาผู้เสียหายที่ ๒ ตกลงจะชำระเงินแก่จำเลย แล้วให้จำเลยคืนรถที่เช่าซื้อแก่ผู้เสียหายที่ ๒ และเมื่อถึงวันเวลานัดจำเลยขับรถที่เช่าซื้อไปรอผู้เสียหายที่ ๒ ก็หาทำให้การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ที่สำเร็จแล้วกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดแต่อย่างใดไม่

              

เพิ่มเติม

               ฎีกาที่ ๔๕๔๘/๒๕๕๘ จากคำเบิกความของโจทก์ร่วมปรากฏว่า โจทก์ร่วมต้องการตัดไม้ยางเพื่อจะสร้างบ้านให้บุตรชายของตน แต่ไม่มีทุนจ้างคนเลื่อยไม้ โจทก์ร่วมไปปรึกษาจำเลยซึ่งเป็นข้าราชการ จำเลยรับดำเนินการขออนุญาตตัดไม้ยาง โดยมีข้อตกลงแบ่งไม้ยางที่ได้จากการตัดและแปรรูป แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเนื่องจากยังไม่ทราบจำนวนไม้ยางที่แปรรูปแน่นอน และจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า โจทก์ร่วมต้องการสร้างบ้านให้แก่บุตรชายของตนตรงบริเวณที่มีต้นยางปลูกอยู่จำนวน ๒ ต้น แต่โจทก์ร่วมไม่สามารถขออนุญาตตัดไม้ยางได้ด้วยตนเอง โจทก์ร่วมจึงยกไม้ยางทั้งสองต้นให้แก่จำเลย โดยไม่เคยมีข้อตกลงแบ่งไม้ยางแปรรูปที่ได้จากการตัดแต่ประการใด ดังนั้น การที่จำเลยตัดต้นยางและชักลากไปแปรรูปในที่ดินของจำเลย ย่อมเป็นไปโดยอาศัยข้อตกลงระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยตามที่โจทก์ร่วมนำสืบ มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองทรัพย์ของโจทก์ร่วมในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมโดยเด็ดขาด โดยมีมูลเหตุชักจงใจอันเป็นเจตนาพิเศษเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพียงแต่หลังจากที่จำเลยเข้าตัดต้นยางของโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์ร่วมกับจำเลยต่างมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับข้อตกลงในการแบ่งไม้ยางที่ได้จากการแปรรูปว่าเป็นประการใด อันเป็นข้อโต้แย้งสิทธิเรียกร้องในทางแพ่งระหว่างกันเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์