คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๕๖/๒๕๖๕
จําเลยทั้งสองให้การในตอนแรกว่า
ที่ดินพิพาททุกแปลงมิใช่ทรัพย์มรดกของ ก. และ ป. เพราะ ก.
สละการครอบครองที่ดินก่อนตาย ส่วน ป. โอนที่ดินทุกแปลงแก่จําเลยที่ ๑
จึงไม่มีทรัพย์มรดกของบุคคลทั้งสองที่จะแบ่งแก่ทายาท
แม้จําเลยทั้งสองให้การตอนหลังว่าฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดขาดอายุความเพราะนําคดีมาฟ้องเกินกำหนดเวลา
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔
เป็นเรื่องที่จําเลยทั้งสองยกอายุความขึ้นตัดฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ด
มิใช่ยอมรับว่าที่ดินพิพาททุกแปลงเป็นทรัพย์มรดกของ ก. และ ป.
อันจะถือว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงหลายทางไม่อาจเป็นไปได้ในคราวเดียวกัน
คำให้การจําเลยทั้งสองไม่ขัดแย้งกันและเป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง คดีมีประเด็นว่า
คดีโจทก์ทั้งเจ็ดขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกหรือไม่ด้วย
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๗๖๓๙/๒๕๖๐ จำเลยที่ ๑ ให้การในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่
๑ โดยซื้อที่ดินพิพาทจาก อ.
ก่อนจดทะเบียนสมรสกับโจทก์แต่ยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในขณะนั้น
ภายหลังเมื่อจดทะเบียนสมรสกับโจทก์แล้ว อ.
จึงโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์อันเป็นการยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัว
แม้จำเลยที่ ๑ จะให้การในตอนหลังว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑ ปี
ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๘๐ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑
ยกอายุความขึ้นตัดฟ้องโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นการยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส
อันจะถือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงหลายทางไม่อาจเป็นไปได้ในคราวเดียวกัน
จึงไม่ขัดแย้งกันเองและเป็นคำให้การที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง
คดีย่อมมีประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยที่ ๑
ว่าคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ขาดอายุความหรือไม่ และศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวด้วย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง
ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า
จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน
รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น
0 Comments
แสดงความคิดเห็น