จำเลยที่ ๒ มาด้วยกันกับจำเลยที่ ๑ และในขณะที่จำเลยที่ ๑ กับผู้ตายกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน จำเลยที่ ๒ ก็เดินตามไปด้วยตลอดเวลา เมื่อจำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จำเลยที่ ๒ ก็ยังคงยืนรออยู่ใกล้ชิด กับจำเลยที่ ๑ หลังจากนั้นจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ ๑ หลบหนีไปด้วยกัน พฤติการณ์ดังนี้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยกันมาตั้งแต่ต้น แม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้ลงมือฆ่าผู้ตายก็ตามแต่ก็ฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นตัวการร่วมกระทำความผิด กับจำเลยที่ ๑

                    ตามฎีกานี้ พยานเบิกความตรงกันว่า ขณะที่ผู้ตายกับจำเลยที่ ๑ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน จำเลยยืนคุมเชิงอยู่ โดยพยานเบิกความถึงลักษณะการยืนคุมเชิงว่า ขณะที่ผู้ตายกับจำเลยที่ ๑ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเคลื่อนที่ไปมานั้น จำเลยที่ ๒ เดินตามไปด้วยตลอดเวลา

เพิ่มเติม
               ฎีกาที่ ๓๙๑/๒๕๓๕ จำเลยที่ ๓ ขับรถยนต์ปิกอัพมาจอดที่หน้าบ้าน น. แล้วจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และ ส.น้องภริยาจำเลยที่ ๑ ลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้าน น. ไล่ตีทำร้ายผู้เสียหาย ดังนี้ แม้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ เพียงแต่ถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยโดยจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ทำร้ายผู้ใดก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๒ ร่วมไปกับจำเลยอื่นและพวกแล้วถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยในขณะที่จำเลยอื่นและพวกไล่ตีทำร้ายผู้เสียหายเช่นนี้ พฤติการณ์ส่อแสดงว่า จำเลยที่ ๒ พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในขณะที่จำเลยอื่นและพวกกระท่าผิดดังกล่าว มีลักษณะเป็นการสมคบแบ่งหน้าที่ร่วมกันกระทำ ถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวการร่วมกับจำเลยอื่นและพวกบุกรุกเข้าไปในเคหสถานและทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๓๖๕(๑)(๒) ประกอบด้วยมาตรา ๓๖๔, ๘๓

ประมวลกฎหมายอาญา
               มาตรา ๘๓ ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น