คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๓๑/๒๕๖๔ 


               ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกยื่นคำร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีว่า ที่ดินเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดออกขายทอดตลาดได้เงินจำนวน ๕๔๐,๐๐๐ บาท ขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินกึ่งหนึ่งแก่ผู้ร้อง เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสที่ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ด้วยกึ่งหนึ่ง และนับได้ว่าเป็นสิทธิอื่นๆ ที่ผู้ร้องอาจขอให้บังคับเหนือ ทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๒ ซึ่งตามกฎหมาย มิได้กำหนดระยะเวลาไว้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้จัดทำบัญชีและส่งคำบอกกล่าวให้โจทก์หรือเจ้าหนี้รายอื่นมาตรวจสอบ และจ่ายเงิน การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นลง ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอกันส่วนเข้ามาในชั้นบังคับคดีได้ แม้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนพ้นกำหนดเวลา ๑๕ วัน นับแต่วันขายทอดตลาดก็ตาม

               ที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดเป็นทรัพย์สิน ที่ได้มาระหว่างจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๔ (๑) บัญญัติเป็นสินสมรส ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ และผู้ร้องมีส่วนเท่ากันคนละกึ่งหนึ่ง ผู้ร้องมีสิทธิกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดกึ่งหนึ่ง แม้ภายหลังจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนหย่ากับผู้ร้อง จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ไถ่ถอนจำนองผู้เดียว ก็เป็นข้อโต้แย้งระหว่างจำเลยที่ ๑ กับผู้ร้องในฐานะเจ้าของรวมซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องไปว่ากล่าวแก่ผู้ร้องต่างหาก

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

               มาตรา ๓๒๒ ภายใต้บังคับมาตรา ๓๒๓ และมาตรา ๓๒๔ บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงทรัพยสิทธิ บุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นซึ่งบุคคลภายนอกมีอยู่เหนือทรัพย์สินหรืออาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นตามกฎหมาย