คำพิพากษาศาลฎ๊กาที่ 801/2505 (ประชุมใหญ่)
จำเลยเป็นคนสัญชาติไทย กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์นอกราชอาณาจักร
ซึ่งผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษจำเลยภายในราชอาณาจักร ต้องตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 8 นั้น
โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบแสดงว่าไม่มีข้อห้ามมิให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 10 อีก (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2505)
เนื้อหาคำฟ้องและข้อเท็จจริง
- พฤติการณ์คดี: โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน
สมคบกันชิงทรัพย์ของบริษัท ท. (ซึ่ง ก. เป็นผู้จัดการ และอยู่ในความดูแลของ
ส. ) ได้เงินไป 16,440 บาท โดยมีการใช้ปืนขู่, ใช้ไม้ฆ้องตี, ใช้หมัดทำร้ายร่างกาย
และใช้เชือกมัดผู้เสียหาย
- สถานที่เกิดเหตุ: ตำบลหัวเชียง อำเภอเมืองเวียงจันทน์
จังหวัดเวียงจันทน์ ประเทศลาว
- การดำเนินคดี: เจ้าทรัพย์ได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยแล้ว
และศาลในประเทศลาวยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือปล่อยตัวจำเลย
พนักงานสอบสวนอำเภอเมืองหนองคายจึงทำการสอบสวนโดยอนุมัติจากอธิบดีกรมอัยการ
ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 10, 340
- คำให้การ: จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ประวัติการพิจารณาคดี
1.
ศาลชั้นต้น: เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาจำคุกคนละ 20 ปี และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,350 บาท
2.
ศาลอุทธรณ์: เห็นว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน ตกอยู่ในฐานสงสัย จึงพิพากษากลับ
ให้ยกฟ้องโจทก์
3.
ศาลฎีกา: โจทก์ฎีกาเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ตายเสียก่อนโจทก์ฎีกา
คำวินิจฉัยศาลฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า:
- เรื่องพยานหลักฐาน: คำเบิกความของพยานโจทก์ที่แตกต่างกันไม่ใช่ข้อสำคัญ
และไม่มีข้อสงสัยว่าพยานจะไม่ได้เห็นคนร้าย
พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์
- เรื่องข้อกฎหมาย
(Key Point): คดีนี้จำเลยเป็นคนสัญชาติไทย
และผู้เสียหายร้องขอให้ลงโทษ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่า คดีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 8 ซึ่งจำเลยจะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร
- ภาระการพิสูจน์: โจทก์ ไม่มีหน้าที่ต้องแสดงว่าไม่มีข้อห้ามมิให้ลงโทษตามมาตรา
10 เพราะจำเลยไม่ได้โต้เถียง
และคดีก็ไม่ได้ความว่ามีข้อห้ามเช่นนั้น
ผลแห่งคำพิพากษา
ศาลฎีกาเห็นพ้องตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายกองจำเลยมา
จึงพิพากษาแก้ ให้บังคับคดีสำหรับตัวนายกองจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ