ส่องคดีเด็ด: ขโมยช้างเมืองพม่า ขึ้นศาลไทยต้องพิสูจน์กฎหมายพม่าหรือไม่? เจาะลึกฎีกาประชุมใหญ่ 458/2503
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
458/2503 (ประชุมใหญ่)
- กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา
10 (4), ป.อ. มาตรา 8
ความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรซึ่งคนไทยทำขึ้นในต่างประเทศ นั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 มิได้กำหนดให้โจทก์ต้องนำสืบว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายต่างประเทศด้วย
เพราะความผิดทั้งสองฐานนี้ระบุไว้ในมาตรา 8 (8) และ (12)
แล้ว
เนื้อหาคำฟ้องและข้อเท็จจริง
- พฤติการณ์คดี: โจทก์ฟ้องว่ามีคนร้ายร่วมกันลักช้างของ
พ. ไป 1 เชือก โดยเหตุเกิดที่ตำบลปางไห้ อำเภอผาปูน
จังหวัดผาปูน ประเทศสหภาพพม่า
- การกระทำของจำเลย: จำเลยกับพวกได้ครอบครองช้างของกลาง
โดยร่วมกันลักช้างไป
หรือมิฉะนั้นก็ร่วมกันรับช้างไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ถูกขโมยมา
(รับของโจร)
- เงื่อนไขการฟ้อง: ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว
และจำเลยยังไม่เคยถูกฟ้องคดีนี้ต่อศาลประเทศพม่ามาก่อน
- คำให้การ: จำเลยให้การปฏิเสธ
ประวัติการพิจารณาคดี
1.
ศาลชั้นต้น: พิพากษา ยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า
โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าการลักช้างเป็นความผิดตามกฎหมายของประเทศพม่าหรือไม่
จึงไม่อาจทราบได้ว่าช้างของกลางเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่
ซึ่งทำให้ขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร
2.
ศาลอุทธรณ์: พิพากษา กลับ
(ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น) โดยเห็นว่า ป.อ. มาตรา 8 ได้ระบุฐานความผิดที่คนไทยทำผิดนอกราชอาณาจักรและต้องรับโทษในไทยไว้ชัดเจนแล้ว
ซึ่งโจทก์ไม่ต้องนำสืบว่าเป็นความผิดในประเทศนั้นอีก
ให้ศาลชั้นต้นกลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่
คำวินิจฉัยศาลฎีกา
(ประชุมใหญ่)
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่
พิจารณาแล้วเห็นว่า:
- หลักกฎหมาย: ความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร
ตาม ป.อ. มาตรา 8 ไม่ได้มีข้อความบังคับให้โจทก์ต้องนำสืบว่าการกระทำนั้นต้องเป็นความผิดตามกฎหมายในสหภาพพม่า
- ข้อยกเว้น: เนื่องจากความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร
ได้ถูกระบุไว้ในมาตรา 8 (8) และ (12) อยู่แล้ว
โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องนำสืบเรื่องกฎหมายต่างประเทศเหมือนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
ผลแห่งคำพิพากษา
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
(ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่)
และยกฎีกาจำเลย