ฎีกาที่ 8003/2567 ทางจำเป็นมาตรา 1349 มาตรา 1350

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8003/2567


ประเด็นข้อกฎหมาย: การพิจารณาสิทธิการขอเปิดทางจำเป็นระหว่างกรณีทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 กับกรณีที่ดินตาบอดอันเนื่องมาจากการแบ่งแยกที่ดินตามมาตรา 1350 โดยเฉพาะเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินเดิมเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีการแบ่งแยกการครอบครองกันมาก่อนออกเอกสารสิทธิ

 

ข้อเท็จจริง:

  • ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด (น.ส.3 ก. เลขที่ 2570) ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โดยมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่
  • จำเลยต่อสู้ว่าเดิมที่ดินโจทก์และที่ดินแปลงข้างเคียง (เลขที่ 2602) เป็นแปลงเดียวกันมาก่อน การแบ่งแยกทำให้ที่ดินโจทก์เป็นที่ดินตาบอด จึงต้องขอเปิดทางผ่านที่ดินแปลงที่แยกออกไปนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350
  • แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินทั้งสองแปลงเป็นที่ดินมือเปล่าของบิดาโจทก์และอีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งได้มีการแบ่งแยกการครอบครองกันมาหลายสิบปีแล้ว ก่อนที่จะนำไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แยกกันคนละปี
  • ทางพิพาทที่โจทก์ขอเปิดผ่านที่ดินจำเลยทั้งสอง เป็นทางที่มีระยะทางใกล้ทางสาธารณะที่สุด และน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสองน้อยที่สุด เนื่องจากอยู่บริเวณแนวเขตที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสอง และโจทก์เคยใช้เส้นทางนี้มาก่อน

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8003/2567 วินิจฉัยวางบรรทัดฐานว่า: 

1️ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเดิมที่ดินเป็นที่ดินมือเปล่าและได้มีการแบ่งแยกการครอบครองกันมานานหลายสิบปีก่อนจะนำไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แยกกัน จึงต้องฟังว่าที่ดินดังกล่าวเป็นคนละแปลงกันมาแต่เดิม ถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงเดียวกันจนเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1350

2️ เมื่อที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ และการออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองตามทางพิพาทเป็นทางที่ใกล้ที่สุดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสองน้อยที่สุด โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349

3️ การกำหนดค่าทดแทนความเสียหายจากการเปิดทางจำเป็น พิจารณาจากเนื้อที่ที่เสียประโยชน์ ประกอบกับสภาพที่ดินและการใช้ประโยชน์จากที่ดิน (เช่น การปลูกพืชผลทางการเกษตร) ซึ่งการกำหนดค่าทดแทนในอัตราตารางวาละ 50 บาทต่อปี นับว่าเหมาะสมแล้ว

📌 สรุป: หากที่ดินเดิมเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีการแบ่งแยกการครอบครองกันชัดเจนเป็นเวลานานก่อนจะไปออกเอกสารสิทธิแยกกัน แม้ต่อมาที่ดินแปลงหนึ่งจะไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ก็ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ดินตาบอดจากการแบ่งแยกที่ดินตามมาตรา 1350 แต่เจ้าของที่ดินสามารถใช้สิทธิขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินแปลงอื่นที่ล้อมรอบอยู่ได้ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปในมาตรา 1349 โดยเลือกทางที่ใกล้และก่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด พร้อมจ่ายค่าทดแทน

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8003/2567

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.พ.พ. มาตรา 1349, 1350

ก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2568 และเลขที่ 2569 ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันและเมื่อมีการแบ่งแยกเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2567 ของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันฟังได้ว่าเดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของ จ. บิดาโจทก์ทั้งเจ็ดกับ ป. ไม่มีหลักฐานการครอบครองที่ดิน เป็นที่ดินมือเปล่าแต่มีการแบ่งแยกการครอบครองกันมาหลายสิบปีแล้ว ต่อมา จ. และ ป. นำที่ดินที่ตนครอบครองไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2567 ให้แก่ จ. เมื่อปี 2517 และออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2569 ให้แก่ ป. เมื่อปี 2520 ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจึงเป็นที่ดินคนละแปลงกัน และที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2567 ไม่ได้มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1350 แต่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ การที่โจทก์ทั้งเจ็ดจะออกสู่ทางสาธารณะได้จำเป็นต้องผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองตามทางพิพาทในแผนที่พิพาท ซึ่งเป็นทางที่มีระยะใกล้ทางสาธารณะที่สุดและเป็นเส้นทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสองน้อยที่สุดเนื่องจากเป็นการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองบริเวณแนวเขตที่ดินที่แบ่งเขตระหว่างที่ดินของจำเลยทั้งสอง ประกอบกับโจทก์ทั้งเจ็ดเคยใช้เส้นทางตามแผนที่พิพาทมาก่อนตั้งแต่ปี 2520 ถึงปี 2549 ในการเข้าออกสู่ทางสาธารณะก่อนที่จำเลยทั้งสองจะปิดกั้น โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิขอให้เปิดทางพิพาทตามแผนที่พิพาทเป็นทางจำเป็นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349

 

ถาม-ตอบ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8003/2567

คำถาม: กรณีที่ดินสองแปลงอยู่ติดกัน เดิมเป็นที่ดินมือเปล่าที่ไม่มีหลักฐานการครอบครอง แต่มีการครอบครองแยกกันเป็นส่วนสัด ต่อมาต่างคนต่างไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) หากที่ดินแปลงหนึ่งกลายเป็นที่ดินตาบอด จะถือว่าเป็นกรณี "การแบ่งแยกที่ดิน" ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 หรือไม่?

คำตอบ: ไม่ถือว่าเป็นการแบ่งแยกที่ดิน ตามมาตรา 1350 เหตุผล: ในคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เดิมที่ดินเป็นของบุคคลสองคน (บิดาโจทก์และบุคคลอื่น) ซึ่งครอบครองแยกกันมาหลายสิบปีแล้ว แม้จะเป็นที่ดินมือเปล่า แต่เมื่อต่างคนต่างนำไปขอออก น.ส.3 ก. แยกกันคนละฉบับและคนละปี (ปี 2522 และ 2523) จึงต้องถือว่าที่ดินทั้งสองแปลง "เป็นที่ดินคนละแปลงกัน" ไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกันแล้วมีการแบ่งแยกในภายหลังจนทำให้ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออก ดังนั้น จึงนำมาตรา 1350 (ที่บังคับให้ผ่านทางเดิมโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน) มาใช้บังคับไม่ได้

คำถาม: เมื่อปรับบทกฎหมายตามมาตรา 1350 ไม่ได้ โจทก์ต้องอ้างสิทธิตามมาตราใด และมีเงื่อนไขอย่างไร?

คำตอบ: ต้องใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 (ทางจำเป็นทั่วไป) เงื่อนไข:

1.     ที่ดินของโจทก์ต้องถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ

2.     การขอเปิดทางต้องเลือกทางที่ "ใกล้ทางสาธารณะที่สุด" และ "ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด"

3.     ผู้ขอเปิดทางจำเป็น (โจทก์) ต้อง "ใช้ค่าทดแทน" ให้แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม (จำเลย) เพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น

คำถาม: ศาลมีหลักเกณฑ์ในการเลือก "แนวทางพิพาท" ให้เป็นทางจำเป็นอย่างไร ในเมื่อมีที่ดินล้อมอยู่หลายด้าน?

คำตอบ: ศาลพิจารณาจาก "ความเสียหายที่น้อยที่สุด" ควบคู่กับ "ความจำเป็น" ครับ ในฎีกานี้ศาลเลือกแนวทางตามแผนที่พิพาท เพราะ:

1.     เป็นเส้นทางที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุด

2.     เป็นแนวเขตที่ดินที่แบ่งระหว่างที่ดินของจำเลยทั้งสอง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อการใช้สอยที่ดินของจำเลยน้อยที่สุด

3.     ประกอบกับโจทก์เคยใช้เส้นทางนี้มาจริงในช่วงปีก่อนฟ้องคดี (ปี 2553-2560)

คำถาม: การกำหนด "ค่าทดแทน" ในทางจำเป็น ศาลพิจารณาจากอะไร และในคดีนี้กำหนดไว้อย่างไร?

คำตอบ: ศาลพิจารณาจาก "เนื้อที่ที่ต้องเสียประโยชน์" และ "สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน" ครับ ในคดีนี้ พื้นที่ทางจำเป็นมีเนื้อที่รวม 111 ตารางวา และสภาพที่ดินใช้ปลูกมันสำปะหลัง ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าค่าทดแทนอัตรา ตารางวาละ 50 บาทต่อปี เป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว (ปฏิเสธคำขอของจำเลยที่ขอตารางวาละ 150 บาท)

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า