คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2547
ประเด็นข้อกฎหมาย:
การใช้ดุลพินิจของศาลในการลดโทษประหารชีวิตกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(2)
ว่าจะต้องลงโทษจำคุก 25 ปี ถึง 50 ปี หรือสามารถลงโทษจำคุกตลอดชีวิตได้
ข้อเท็จจริง:
จำเลยกับพวกกระทำความผิดโดยร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึง 490,000
เม็ด เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิต
ต่อมาศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำรับสารภาพเป็นประโยชน์ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง
โดยเปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษลงเหลือจำคุกมีกำหนดเวลา
(25 ถึง 50 ปี) ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 52(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2806/2547
วินิจฉัยวางบรรทัดฐานว่า:
1️⃣ ทางเลือกของศาลตามกฎหมาย: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(2) บัญญัติทางเลือกในการลดโทษประหารชีวิตลงกึ่งหนึ่งไว้
2 กรณี คือ "ให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต" หรือ
"โทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปี ถึง 50 ปี"
ดังนั้น จึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ
ไปว่าสมควรจะลดโทษเพียงใด ไม่ได้บังคับว่าต้องลดเป็นจำคุกมีกำหนดเวลาเสมอไป
2️⃣ เกณฑ์การใช้ดุลพินิจ: คดีนี้จำเลยนำเข้ายาเสพติดจำนวนมาก (4.9 แสนเม็ด)
ซึ่งเป็นภัยร้ายแรง ทำลายทรัพยากรมนุษย์ และยากแก่การจับกุมปราบปราม
พฤติการณ์ถือว่าร้ายแรงมาก การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลดโทษจากประหารชีวิตเหลือ
"จำคุกตลอดชีวิต" (ซึ่งเป็นมาตรการที่หนักกว่าจำคุก 25-50 ปี) จึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
3️⃣ การอ้างแนวคำพิพากษาอื่น: การกำหนดโทษเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนในแต่ละคดีตามสภาพความผิด
จะนำคำพิพากษาคดีอื่นมาเป็นแนวทางเพื่อผูกมัดให้ศาลต้องกำหนดโทษเท่ากันในคดีนี้ไม่ได้
📌 สรุป: เมื่อมีเหตุลดโทษประหารชีวิตลงกึ่งหนึ่ง ศาลมีดุลพินิจที่จะเลือกใช้โทษ
"จำคุกตลอดชีวิต" หรือ "จำคุก 25-50 ปี"
ก็ได้ โดยดูจากความร้ายแรงของพฤติการณ์ในคดีนั้นๆ ยิ่งคดีร้ายแรง (เช่น
ยาเสพติดล็อตใหญ่) ศาลย่อมมีแนวโน้มเลือกโทษจำคุกตลอดชีวิต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2806/2547
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง;
ป.อ. มาตรา 52 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, มาตรา 65 วรรคสอง, มาตรา 66
วรรคสอง
ป.อ.
มาตรา 52
(2) บัญญัติว่า ในการลดโทษประหารชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง ถ้าจะลดกึ่งหนึ่ง
ให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปี ถึง 50
ปี ดังนั้น
จึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ
ไปว่าสมควรจะลดโทษเพียงใด
คดีนี้จำเลยกับพวกกระทำความผิดโดยร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน
490,000
เม็ด น้ำหนัก 48,564.1 กรัม
คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 12,275.86 กรัม
เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวได้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
อันเป็นต้นเหตุทำให้ยาเสพติดให้โทษชนิดดังกล่าวแพร่ระบาดสู่ประชาชน
และทำให้ประชาชนตกเป็นทาสของยาเสพติดให้โทษเพิ่มมากขึ้น
ลักษณะของความผิดถือว่าเป็นภัยร้ายแรง สามารถทำลายทรัพยากรมนุษย์
และบั่นทอนความสงบสุขของสังคมโดยส่วนรวม ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนมาก
ทั้งมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ
ซึ่งโดยปกติย่อมยากแก่การจับกุมปราบปรามของเจ้าพนักงานอยู่แล้ว
พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลดโทษประหารชีวิตให้จำเลยกึ่งหนึ่งโดยให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต
เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
การใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
และสภาพความผิดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนในแต่ละคดี
จะถือเอาคำพิพากษาคดีอื่นมาเป็นแนวทางในการกำหนดโทษของจำเลยคดีนี้หาได้ไม่
ถาม-ตอบ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
1. คำถาม:
การลดโทษประหารชีวิตกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 52(2) ศาลจำต้องลดเป็นจำคุก 25-50 ปี เสมอไปหรือไม่?
คำตอบ:
ไม่จำเป็น ตามมาตรา 52(2) ศาลมีดุลพินิจที่จะเลือกได้ 2 กรณี คือ
ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ โทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปี
ถึง 50 ปี โดยศาลจะพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดีเป็นรายๆ ไป
2. คำถาม:
จำเลยสามารถอ้างคำพิพากษาคดีอื่นที่ศาลลงโทษเบากว่า
มาเป็นเหตุขอให้ศาลลงโทษตนเองสถานเบาบ้าง ได้หรือไม่?
คำตอบ: ไม่ได้ ศาลฎีกาวางแนวว่าการกำหนดโทษเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนในแต่ละคดีจะนำคำพิพากษาคดีอื่นมาเป็นแนวทางบังคับให้ศาลกำหนดโทษแบบเดียวกันไม่ได้ โดยเฉพาะหากพฤติการณ์หรือสภาพความผิดแตกต่างกัน
