คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5061/2533
- จุดเริ่มต้นของคดี:
คดีนี้เกิดจากการที่บริษัทนายจ้าง ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อสหภาพแรงงาน
แต่สหภาพแรงงานปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเรียกร้องและไม่ยอมเจรจา
- เมื่อใดถือเป็น
"ข้อพิพาทแรงงาน": ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
การที่นายจ้างยื่นข้อเรียกร้องแล้วสหภาพแรงงานไม่ยอมรับและไม่ยอมเจรจานั้น
ถือว่า "ได้มีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้นแล้ว"
- ขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย:
เมื่อเกิดข้อพิพาท นายจ้างได้แจ้งต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน
ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
มาตรา 21 อย่างถูกต้อง หน้าที่ต่อไปจึงเป็นของพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานที่จะต้องดำเนินการไกล่เกลี่ยตามมาตรา
22
- ทำไมศาลไม่รับฟ้อง?:
สหภาพแรงงานพยายามร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดว่าการยื่นข้อเรียกร้องของนายจ้าง
"ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" แต่ศาลฎีกาตัดสินว่า
กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ไม่มีบทบัญญัติให้คู่กรณีใช้สิทธิทางศาลในขั้นตอนนี้ หากตกลงกันไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการตามมาตรา 22 วรรคท้าย (เช่น
การนัดหยุดงาน หรือ ปิดงาน) ต่อไป ไม่ใช่การนำคดีมาฟ้องศาลทันที
- สรุป:
ผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ในกรณีนี้ได้ ศาลจึงพิพากษายกคำร้อง
(ฎีกาย่อ)
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง;
ป.วิ.พ. มาตรา 55 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
พ.ศ.2522 มาตรา 8 (3), มาตรา 31
พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 21,
มาตรา 22
สหภาพแรงงาน
(ผู้ร้อง)
การที่บริษัทนายจ้างยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ร้องซึ่งเป็นสหภาพแรงงาน
แล้วผู้ร้องไม่ยอมรับข้อเรียกร้องและไม่ยอมเจรจานั้นถือว่าได้มีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น
เมื่อบริษัทนายจ้างได้แจ้งข้อพิพาทแรงงานต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานอันเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
พ.ศ. 2518
มาตรา 21 แล้ว
ย่อมเป็นหน้าที่ของพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานที่จะพิจารณาข้อเรียกร้องดังกล่าวและดำเนินการไกล่เกลี่ยให้ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องและฝ่ายรับข้อเรียกร้องตกลงกันต่อไปตามมาตรา
22 หากไม่อาจตกลงกันได้บริษัทนายจ้างและผู้ร้องชอบที่จะดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
22 วรรคท้าย ต่อไป
จะใช้สิทธิทางศาลขอให้วินิจฉัยชี้ขาดว่าการยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ชอบหาได้ไม่
เพราะตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หาได้มีบทบัญญัติให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลสำหรับกรณีนี้แต่ประการใดไม่