ฎีกาที่ 1688/2568 มาตรการแทนการพิพากษา ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ มาตรา 132 วรรคสอง


ข้อเท็จจริง:
จำเลย (เยาวชน) กระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์และกระทำชำเราฯ จำเลยให้การรับสารภาพ เดิมจำเลยอาศัยอยู่กับปู่ย่า ต่อมาย้ายมาอยู่กับตายายที่มีความเข้มงวดกวดขันและเอาใจใส่เรื่องการศึกษาดีกว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นควรใช้ มาตรการแทนการพิพากษา ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ มาตรา 132 วรรคสอง แต่สั่งให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่ "ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน"

ปัญหาข้อกฎหมาย: การส่งตัวเด็กไป "ศูนย์ฝึกและอบรมฯ" สามารถทำได้ภายใต้มาตรการแทนการพิพากษาตามมาตรา 132 วรรคสอง หรือไม่?

  


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2568

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง; พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 132

พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 132 เป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลที่จะสั่งยุติคดีโดยไม่ต้องมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลย ส่วนที่ว่าศาลสมควรใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีกับจำเลยคนใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ในการกระทำความผิด ข้อเท็จจริงและสภาพความเป็นอยู่ของจำเลย โดยมาตรการแทนการพิพากษาตามมาตรา 132 วรรคหนึ่งนั้น เป็นมาตรการแบบไม่จำกัดอิสรภาพในการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู ส่วนมาตรา 132 วรรคสอง เป็นกรณีที่ศาลเห็นควรใช้วิธีการแบบจำกัดอิสรภาพเด็กหรือเยาวชน เพราะไม่มีบุคคลดูแลใกล้ชิดหรือมีบิดามารดา หรือผู้ปกครอง แต่มีความจำเป็นบางประการซึ่งศาลเห็นว่าการส่งเด็กหรือเยาวชนไปอยู่ในสถานพินิจหรือสถานที่อื่นที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายจะเป็นประโยชน์แก่เด็กหรือเยาวชนยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม สถานที่อื่นตามมาตรา 132 วรรคสอง มิได้หมายความรวมถึงศูนย์ฝึกและอบรม ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกอบรมเด็กหรือเยาวชนตามคำพิพากษา จึงไม่อาจส่งจำเลยที่อยู่ในระหว่างการใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดี ไปยังศูนย์ฝึกและอบรมได้ เพราะขัดต่อเจตนารมณ์ของการใช้มาตรการแทนการพิพากษาซึ่งมุ่งหมายที่จะเบี่ยงเบนเด็กและเยาวชนออกจากกระบวนการพิจารณาพิพากษาแบบปกติให้ได้มากที่สุด แม้ในระหว่างการใช้มาตรการตามมาตรา 132 วรรคสอง ศาลอาจใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนไปพลางก่อนได้ก็ตาม ก็ไม่อาจนำวิธีการเข้ารับการฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมมาใช้ในกรณีนี้ได้เช่นกัน ดังนี้เมื่อพฤติการณ์ของจำเลยไม่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมเกินสมควรและจำเลยมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีตามมาตรา 132 วรรคหนึ่งแก่จำเลย โดยให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว มอบตัวจำเลยให้ตาและยายซึ่งจำเลยอาศัยอยู่ด้วยและให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่ศาลฎีกากำหนด ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง เป็นเวลา 6 เดือนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

 

สรุป; มาตรา 132 เป็นมาตรการเบี่ยงเบนเด็กออกจากกระบวนการยุติธรรมปกติเพื่อไม่ให้มีตราบาป โดยวรรคหนึ่งใช้กรณีมีผู้ดูแล (ไม่จำกัดอิสรภาพ) และวรรคสองใช้เมื่อจำเป็นต้องควบคุมในสถานพินิจ (จำกัดอิสรภาพ) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "สถานที่อื่น" ตามวรรคสอง ไม่รวมถึง "ศูนย์ฝึกและอบรม" เพราะเป็นสถานที่สำหรับเด็กที่มีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจส่งเด็กที่อยู่ระหว่างมาตรการแทนการพิพากษาไปฝึกอบรมได้ หากพฤติการณ์ไม่ร้ายแรงและมีผู้ปกครองที่พร้อมดูแล ศาลควรใช้มาตรา 132 วรรคหนึ่งเป็นทางเลือกแรก โดยปล่อยตัวชั่วคราวและกำหนดเงื่อนไขการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูแทนการส่งตัวไปกักขัง

 

เงื่อนไขในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่ศาลฎีกากำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามมาตรการแทนการพิพากษาเป็นเวลา 1 ปี มีรายละเอียดดังนี้:

  • การรายงานตัวและติดตามผล: จำเลยต้องรายงานตัวเพื่อรับคำปรึกษาแนะนำที่ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานการประชุมเพื่อแก้ไขบำบัดฟื้นฟูของศาลชั้นต้น โดยต้องรายงานผลการศึกษาทุกครั้งที่มีการสอบวัดผล รวมถึงหากมีงานอดิเรก ต้องรายงานตารางการฝึกซ้อมหรือกิจกรรมและประโยชน์ที่ได้รับด้วย
  • การเข้าร่วมกิจกรรมบำบัด: จำเลยต้องเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดหรือกิจกรรมทางเลือกของศาลชั้นต้นอย่างน้อย 2 กิจกรรม
  • ความสัมพันธ์ในครอบครัวและการกำกับดูแล: จำเลยและผู้ปกครองต้องเข้าร่วมกิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ โดยให้ผู้ปกครองเข้ารับคำปรึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กชายวัยรุ่น และผู้ปกครองต้องเข้มงวดในการติดตามพฤติกรรมรวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของจำเลยให้มากขึ้น
  • ข้อห้ามเกี่ยวกับสารเสพติด: ห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทุกประเภทและห้ามดื่มสุราโดยเด็ดขาด

 

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า