อำนาจผู้จัดการมรดกในการจำหน่ายทรัพย์สิน

ศึกษากรณีเปรียบเทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2295/2565 และ1480/2563

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2295/2565:

Ø  ข้อเท็จจริง: จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกให้แก่จำเลยที่ 3 แล้ว เบียดบังเอาเงินที่ขายได้เป็นประโยชน์ของตน การกระทำดังกล่าวปราศจากความยินยอมของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม

Ø  คำวินิจฉัยศาลฎีกา: การกระทำของผู้จัดการมรดกในลักษณะดังกล่าว มิใช่การทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 บัญญัติไว้ หากแต่เป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตน ถือเป็นการกระทำนอกขอบแห่งอำนาจที่กฎหมายมอบให้ แม้จำเลยที่ 3 ผู้ซื้อจะกระทำการโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ก็หาได้สิทธิไปไม่ เนื่องจากเป็นการซื้อจากผู้ที่ขายทรัพย์สินโดยไม่มีอำนาจ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขาย การที่ทายาทฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขาย ถือเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 จึงมีเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนได้ และหาใช่กรณีที่ทายาทไม่อาจอ้างการได้มาซึ่งยังมิได้จดทะเบียนขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตและจดทะเบียนแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสองไม่

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563:

  • ข้อเท็จจริง: จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ และมีฐานะเป็นทายาทโดยธรรมด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของตนเองในฐานะส่วนตัว หลังจากนั้นจึงจดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 นำไปจดทะเบียนขายฝากแก่จำเลยที่ 3
  • คำวินิจฉัยศาลฎีกา: การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและเป็นทายาท จดทะเบียนโอนที่ดินมรดกเป็นของตนเองในฐานะส่วนตัวนั้น เป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยทั่วไปของผู้จัดการมรดก ไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาท และการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1719 และ 1722 นิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ แม้จะทำให้ทายาทอื่นได้รับความเสียหาย ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันต่างหาก เมื่อนิติกรรมสมบูรณ์แล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะทำนิติกรรมต่อไปได้ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิ (รับซื้อฝาก) มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ทายาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากดังกล่าวได้

 

บทวิเคราะห์เปรียบเทียบและข้อสังเกต

คือ ลักษณะของนิติกรรมแรกที่ผู้จัดการมรดกกระทำ และ สถานะของผู้จัดการมรดก:

1.         การกระทำนอกอำนาจ กับ การใช้อำนาจโดยมิชอบ: ในฎีกาที่ 2295/2565 การขายตรงให้บุคคลภายนอกแล้วเบียดบังเงิน เป็นการกระทำที่ศาลมองว่าอยู่นอกขอบอำนาจมาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีผลผูกพันกองมรดก แต่ในฎีกาที่ 1480/2563 การโอนเข้าชื่อตนเอง (ซึ่งเป็นทายาทด้วย) ศาลมองว่ายังอยู่ในขอบอำนาจของการจัดการมรดกเพื่อรวบรวมทรัพย์สิน แม้เจตนาที่ตามมาจะไม่สุจริตก็ตาม เมื่อนิติกรรมแรกสมบูรณ์แล้ว การโอนในลำดับถัดไปจึงชอบด้วยกฎหมายในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์

2.         สถานะความเป็นทายาทของผู้จัดการมรดก: ในฎีกาที่ 1480/2563 การที่ผู้จัดการมรดกเป็นทายาท การโอนทรัพย์สินมาเป็นชื่อของตนเองนั้น มีน้ำหนักและเหตุผลอันสมควรในเบื้องต้นว่าเป็นการกระทำเพื่อจัดการมรดกได้