ฎีกาเปรียบเทียบ ฎีกาที่ 539/2566 กับ ฎีกาที่ 3484/2566 มาตรา 1299 วรรคสอง

  1. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 539/2566

มูลคดีแห่งการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมจำนอง

ข้อเท็จจริงโดยย่อ: โจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส. 3 ก. และได้รับการส่งมอบการครอบครอง เข้าทำประโยชน์อย่างเปิดเผยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี. ต่อมา จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใช่เจ้าของที่ดินส่วนของโจทก์ ได้นำที่ดินทั้งแปลงไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 2. โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองในส่วนของตน.

ประเด็นวินิจฉัยและเหตุผลของศาลฎีกา: ศาลฎีกาวางหลักวินิจฉัยโดยอาศัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705 เป็นหัวใจสำคัญ.

  • สถานะความเป็นเจ้าของของผู้จำนอง: ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองมาโดยสมบูรณ์จากการซื้อและเข้าทำประโยชน์แล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสถานะเป็นเจ้าของในที่ดินส่วนของโจทก์อีกต่อไป.

  • ผลของการจำนองโดยผู้ไม่มีอำนาจ: การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินที่ตนไม่ใช่เจ้าของไปจำนอง สัญญาจำนองดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง

  • ความสุจริตของผู้รับจำนองไม่เป็นประเด็น: เมื่อการจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า "โดยไม่จำต้องคำนึงว่าจำเลยที่ 2 รับจำนองโดยสุจริตหรือไม่".


  1. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 3484/2566

มูลคดีแห่งการร้องขัดทรัพย์ในชั้นบังคับคดี

ข้อเท็จจริงโดยย่อ: ผู้ร้องได้รับที่ดินพิพาท (ส่วนหนึ่งของ น.ส. 3) จากจำเลยซึ่งเป็นมารดาและเป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ ผู้ร้องได้ครอบครองทำประโยชน์มา 24 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียน ต่อมาจำเลยได้นำที่ดินทั้งแปลงไปจำนองแก่โจทก์ เมื่อจำเลยผิดนัด โจทก์จึงยึดทรัพย์เพื่อบังคับคดี ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์

ประเด็นวินิจฉัยและเหตุผลของศาลฎีกา: ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีนี้ภายใต้กรอบของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ประกอบกับหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.

  • ความบกพร่องในการบรรยายคำร้อง: ศาลฎีกาชี้ให้เห็นข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญคือ "ผู้ร้องมิได้บรรยายคำร้องขอว่าโจทก์รับจำนองที่ดิน...โดยไม่มีค่าตอบแทนหรือไม่สุจริต". เมื่อไม่มีการตั้งประเด็นนี้ขึ้นต่อสู้ คดีจึงต้องฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

  • การปรับใช้มาตรา 1299 วรรคสอง: เมื่อโจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่ได้จดทะเบียนสิทธิจำนองโดยเสียค่าตอบแทนแล้ว สิทธิครอบครองของผู้ร้องซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนจึงไม่อาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้.

  • การยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา: ประเด็นที่ผู้ร้องพยายามยกขึ้นสู้ในชั้นฎีกาว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของที่ดิน (ประเด็นตามมาตรา 705) นั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โดยให้เหตุผลว่าเป็น "ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์" จึงต้องห้ามฎีกา


บทสรุปและข้อพิจารณาสำหรับนักกฎหมาย

คำพิพากษาทั้งสองฉบับไม่ได้เป็นการกลับหลักกฎหมาย แต่เป็นการยืนยันหลักกฎหมายที่แตกต่างกันตามรูปคดี

  1. การเลือกรูปคดีเป็นตัวกำหนดแนวทางการต่อสู้: หากข้อเท็จจริงสนับสนุนว่าผู้จำนองไม่ใช่เจ้าของ การฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมจำนองโดยตรงตามแนวทางของ ฎีกาที่ 539/2566 โดยอ้าง มาตรา 705 เป็นหลัก จะตัดประเด็นเรื่องความสุจริตของผู้รับจำนองออกไปได้

  2. ความสำคัญอย่างยิ่งของการบรรยายฟ้อง: หากเลือกดำเนินคดีในรูปแบบอื่น เช่น การร้องขัดทรัพย์ดังเช่นใน ฎีกาที่ 3484/2566 ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับข้อต่อสู้ของบุคคลภายนอกผู้สุจริตตาม มาตรา 1299 วรรคสอง การกล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำร้องให้ชัดเจนว่าบุคคลภายนอกนั้น "ไม่สุจริต" ถือเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่ง .

  3. ไม่มีโอกาสครั้งที่สองในชั้นอุทธรณ์-ฎีกา: คดี 3484/2566 เป็นอุทาหรณ์ที่ชัดเจนว่า การละเลยไม่ยกประเด็นที่เป็นสาระสำคัญขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น จะไม่สามารถแก้ไขได้ในชั้นที่สูงขึ้นไปได้

โดยสรุป คำพิพากษาทั้งสองฉบับ “ความสำเร็จในห้องพิจารณา เริ่มต้นจากการร่างฟ้องที่สมบูรณ์”