คำพิพากษาฎีกาที่ 4030/2567
สภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับตามคำฟ้องโจทก์ อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยนำชี้แนวเขตที่ดิน รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองที่ดินของ โจทก์ กับขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนคืนที่ดินให้แก่โจทก์ มิได้ กล่าวว่าโจทก์ถูกจำเลยรบกวนในการครอบครองทรัพย์สินของโจทก์โดย มิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 วรรคหนึ่ง เช่นนี้ไม่มีข้อที่ทำให้โจทก์ต้องฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้อง การรบกวนนั้นภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนตามมาตรา 1374 วรรคสอง แม้จำเลยจะให้การข้อเท็จจริงและยกมาตรา 1374 วรรคสอง ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ย่อมไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นอายุความฟ้องคดีตาม บทบัญญัติดังกล่าว
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา:
ประเด็นเรื่องสิทธิครอบครอง: ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างทั้งสองว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า และฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจริง โดยได้ครอบครองสืบต่อมาจากยาย การที่ น.ส.3 ข. ของจำเลยออกทับที่ดินของโจทก์จึงเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อน
ประเด็นเรื่องอายุความ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องเพื่อยืนยันสิทธิครอบครองของตนที่ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิ โดยการนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำ ไม่ใช่กรณีที่ถูกจำเลย "รบกวนการครอบครอง" ตามความหมายของมาตรา 1374 วรรคหนึ่ง ดังนั้น อายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1374 วรรคสอง จึงไม่นำมาใช้บังคับกับคดีนี้ ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น
การแก้ไขคำพิพากษา: เมื่อศาลฟังได้ว่า น.ส.3 ข. ของจำเลยออกโดยคลาดเคลื่อนทับที่ดินของบุคคลอื่น ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าวในส่วนที่ทับซ้อนได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ให้เพิกถอน น.ส.3 ข. เลขที่ 167 เฉพาะในส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาทของโจทก์
0 Comments
แสดงความคิดเห็น