คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๘๑/๒๕๖๑
               โจทก์บรรยายฟ้องแยกข้อหาความผิดของจำเลยที่ ๓ ในข้อหาแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๗ และข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ เป็นกรณีต่างกรรมกันดังนั้น สิทธิในการอุทธรณ์ของโจทก์ต้องพิจารณาจากอัตราโทษตามที่บัญญัติไว้ สำหรับความผิดแต่ละกรรมเป็นสำคัญ เมื่อความผิดข้อหาแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๗ (เดิม) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๓ ทวิ
               บทมาตรา ๑๕๗ บัญญัติว่าผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษคำฟ้องของโจทก์ มุ่งหมายขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๓ และที่ ๑๑ ถึงที่ ๑๗ เพราะเหตุที่จำเลยดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ฉะนั้นสาระสำคัญของความผิดย่อมอยู่ที่เจตนาในการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นองค์ประกอบความผิดประการหนึ่งด้วย เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๑๑ ถึงที่ ๑๗ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น จำเลยที่ ๓ ที่ ๑๑ ถึงที่ ๑๗ กระทำลงด้วยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับข้อหานี้จึงไม่สมบูรณ์ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ (๕)
               ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๓ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๑๖ วรรคหนึ่ง และ มาตรา ๒๒๕ วางหลักว่า ฎีกาทุกฉบับต้องมีข้อคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในความผิดข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน โจทก์ฎีกาโดยคัดลอกข้อความในคำฟ้องอุทธรณ์ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑๖ ของหน้าที่ ๑๑ ถึงบรรทัดที่ ๑ ของหน้าที่ ๒๗ มาไว้ในคำฟ้องฎีกาทั้งสิ้น และศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ได้มีคำวินิจฉัยในปัญหาเดียวกันไว้แล้ว ฎีกาของโจทก์ มิได้ยกเหตุผลคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ว่าไม่ถูกต้อง หรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ควรวินิจฉัยอย่างไร และด้วยเหตุผลใด ไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๑ ได้ แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณา และลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาและศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์มาก็เป็นการไม่ชอบ
              
              
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
               มาตรา ๑๙๓ คดีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้อุทธรณ์ไป ยังศาลอุทธรณ์ เว้นแต่จะถูกห้ามอุทธรณ์โดยประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น
               อุทธรณ์ทุกฉบับต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ
               มาตรา ๑๙๓ ทวิ ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่กรณีต่อไปนี้ให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
               (๑) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกหรือให้ลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก
               (๒) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ศาลรอการลงโทษไว้
               (๓) ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่รอการกำหนดโทษไว้ หรือ
               (๔) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินหนึ่งพันบาท
               มาตรา ๒๑๖ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๑๗ ถึง ๒๒๑ คู่ความมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษา หรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันอ่าน หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ฎีกาฟัง
               มาตรา ๒๒๑ ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยมาตรา ๒๑๔, ๒๑๕ และ ๒๒๐ แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป
               มาตรา ๒๒๕ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง