ขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษา
เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีจนถึงที่สุดแล้ว
คู่ความย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำบังคับเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสัมฤทธิ์ผล
อย่างไรก็ดี
ในทางปฏิบัติมักปรากฏข้อขัดข้องในชั้นบังคับคดีอันเนื่องมาจากความเคลือบคลุมแห่งคำพิพากษา
ข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไปจากเอกสาร
หรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนในกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความ
ซึ่งศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้ใน 3 ประการสำคัญ
ดังนี้
ประการแรก
ในกรณีที่คดีมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
แต่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยในชั้นบังคับคดีจนคู่ความไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
กฎหมายมิได้ตัดสิทธิคู่ความที่จะร้องขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษานั้น
เพื่อผลแห่งการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นไปโดยถูกต้องและรวดเร็ว
ประการที่สอง
ในการบังคับคดีแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดิน
หากปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นบังคับคดีว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริงขาดตกบกพร่องไปจากจำนวนที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินหรือในคำพิพากษา
ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้บังคับคดีแบ่งแยกกรรมสิทธิ์โดยลดลงตามส่วนของเนื้อที่ดินที่เหลืออยู่จริงได้
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการใช้อำนาจบังคับคดีไปตามความเป็นจริง
หาใช่การแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วไม่
ประการสุดท้าย
กรณีคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม
หากต่อมาลูกหนี้ตามคำพิพากษาผิดสัญญา
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยยื่นคำร้องเข้าไปในคดีเดิม
ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 ประกอบมาตรา 7 (2) จะนำมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมาฟ้องร้องเป็นคดีใหม่หาได้ไม่
เนื่องจากคู่ความฝ่ายเจ้าหนี้ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
475/2508
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
ป.วิ.พ. มาตรา 54, มาตรา 143, มาตรา
271
แม้คดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในชั้นบังคับคดีเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
คู่ความก็ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษานั้นได้
ข้อเท็จจริง:
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แบ่งนามรดก คดีถึงที่สุด
แต่ในชั้นบังคับคดียังมิได้แบ่งกัน
โดยโจทก์ยื่นคำร้องว่ายังมีความข้องใจในคำพิพากษาบางประการ ขอให้อธิบาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
1901/2530
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
ป.วิ.พ. มาตรา 84, 143, 144, 243
ศาลพิพากษาให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตรงตามโฉนดโดยถือตามคำฟ้องของโจทก์
เมื่อปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริงขาดไปจากจำนวนที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน
ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้บังคับคดีแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ลดลงตามส่วนของเนื้อที่ดินที่เหลือผิดไปจากคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วได้
กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วเพราะในชั้นบังคับคดีศาลย่อมมีอำนาจบังคับคดีไปตามความเป็นจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
1148/2565
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
ป.วิ.พ. มาตรา 7 (2), มาตรา 142 (5), มาตรา 246, มาตรา 252, มาตรา 274
วรรคหนึ่ง
สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมคดีก่อนถือว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้จากจำเลยโดยอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ส่วนจำเลยถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองโดยอยู่ในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 274 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสองชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเข้าไปในคดีเดิมตาม
มาตรา 7 (2) โจทก์ทั้งสองไม่อาจนำข้อพิพาทในชั้นบังคับคดีดังกล่าวมาฟ้องร้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งได้มีคำพิพากษาตามยอมเป็นคดีใหม่ได้
โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา
ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองได้ตาม มาตรา 142
(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
สรุปทั้ง 3
ฎีกานี้ ต้องดำเนินการยื่นคำร้องใน "คดีเดิม" (ชั้นบังคับคดี) ไม่ใช่การไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่
โดยแยกรายละเอียดได้ดังนี้:
1. ฎีกาที่ 475/2508
(ขอให้อธิบาย): เป็นการยื่นคำร้อง ในคดีเดิม เพื่อขอให้ศาล "อธิบาย" ความหมายของคำพิพากษาที่คู่ความยังสงสัย
เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการต่อไปได้ถูกต้อง
2. ฎีกาที่ 1901/2530
(ขอให้บังคับตามจริง): เป็นการโต้แย้งกันในชั้นบังคับคดี ของคดีเดิม ว่าจะแบ่งที่ดินอย่างไรเมื่อเนื้อที่ขาดหายไป
ซึ่งศาลในคดีเดิมมีอำนาจสั่งให้บังคับคดีไปตามความเป็นจริง (ลดสัดส่วนลง)
ได้โดยไม่ต้องไปฟ้องใหม่
3. ฎีกาที่ 1148/2565
(ขอให้บังคับตามยอม): เป็นการระบุชัดเจนที่สุดว่า
หากผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ห้ามนำมาฟ้องเป็นคดีใหม่ แต่ต้อง ยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีในคดีเดิม
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 274 และ มาตรา 7 (2) เท่านั้น
สรุปสั้นๆ: ไม่ว่าจะเป็นการ สงสัย (ให้อธิบาย), ขัดข้อง (ให้แบ่งตามจริง), หรือ ผิดสัญญา (ให้บังคับคดี) ทางแก้คือกลับไปที่ "คดีเดิม"

