ความรับผิดเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายมาตรา 379 มาตรา 572

ความรับผิดเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย หากเหตุสูญหายมิได้เกิดจากความผิดของผู้เช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนภาระการชดใช้ค่าเสียหายให้พิจารณาจาก "ข้อสัญญา" เป็นสำคัญ หากสัญญาระบุเงื่อนไขจำกัดความรับผิดไว้เพียงเบี้ยปรับหรือค่าธรรมเนียม ผู้เช่าซื้อย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในราคารถยนต์ที่ต้องชดใช้แทนการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2567 แต่หากสัญญากำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์เต็มจำนวนในทุกกรณีแม้ตนมิได้เป็นฝ่ายผิด จะถือเป็น "ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจปรับลดค่าเสียหายลงให้เหลือเพียงจำนวนที่เหมาะสมและเป็นธรรมได้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4340/2559

 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2567

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ป.พ.พ. มาตรา 379 มาตรา 562 มาตรา 572, สัญญาเช่าซื้อข้อ 6.7: กรณีรถหายโดยไม่ใช่ความผิดผู้เช่าซื้อ ให้รับผิดเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงและเบี้ยปรับตามที่กำหนด

          โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์แล้วผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาพร้อมเรียกให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนและใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ตามสัญญา โดยโจทก์แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อพร้อมคำฟ้องและอ้างส่งต่อศาล ทั้งมีคำขอบังคับให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาพร้อมค่าเสียหาย แม้โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย แต่พอถือได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายตามสัญญาเช่าซื้อด้วย

สัญญาเช่าซื้อข้อ 6.7 กำหนดว่า กรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย หากมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือ ทั้งนี้เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้จ่ายไปจริงโดยประหยัดตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร ดังนั้น โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาต้องผูกพันตามข้อสัญญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ จำเลยผู้เช่าซื้อจึงต้องรับผิดเฉพาะเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือเท่านั้น ซึ่งในส่วนเบี้ยปรับ แม้เป็นค่าเสียหายอย่างหนึ่ง แต่มีลักษณะเป็นค่าเสียหายที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าให้ชดใช้ให้แก่กันเมื่ออีกฝ่ายไม่ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 4 กำหนดรายละเอียดของเบี้ยปรับว่า ได้แก่ เบี้ยปรับของค่าเช่าซื้อที่ผิดนัด เบี้ยปรับของค่าใช้จ่ายที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ชำระที่ผู้ให้เช่าซื้อเรียกเก็บแทนผู้เช่าซื้อ เบี้ยปรับจึงมีความหมายเฉพาะที่ระบุในข้อสัญญาดังกล่าว มิใช่ค่าเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์อาจมีสิทธิเรียกได้กรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงค่าเสียหายอันเป็นเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือตามที่ระบุไว้ในข้อสัญญาดังกล่าว ทั้งสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อตกลงให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอย่างอื่น จึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

 

         หมายเหตุ

         สัญญาเช่าซื้อข้อ 6.7 กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดเฉพาะรายการดังต่อไปนี้เท่านั้น: เบี้ยปรับ (ค่าเสียหายที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า), ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้, ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือ (โดยต้องเป็นยอดที่ผู้ให้เช่าซื้อจ่ายไปจริง ประหยัด และจำเป็น)

         แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องโจทก์ (ผู้ให้เช่าซื้อ) ได้ยื่นฟ้องโดยมีคำขอบังคับให้จำเลยรับผิดชดใช้ ดังนี้ 1. ให้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี 2. หากคืนรถไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงินจำนวน 380,623.04 บาท 3. ค่าเสียหาย (ค่าขาดประโยชน์) เป็นเงินจำนวน 22,876.96 บาท 4. ค่าขาดประโยชน์รายเดือนในอัตราเดือนละ 2,859.62 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนครบถ้วน 5. ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 403,500 บาท (ซึ่งยอดนี้มาจาก ราคาแทนรถยนต์ 380,623.04 บาท + ค่าขาดประโยชน์ 22,876.96 บาท) โดยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

         ศาลชั้นต้น พิพากษา ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 (แผนกคดีผู้บริโภค) พิพากษายืน ศาลฎีกา (แผนกคดีผู้บริโภค) เห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 เนื่องจากรถยนต์สูญหายโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย และตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 6.7 กำหนดความรับผิดไว้เพียงเบี้ยปรับและค่าใช้จ่าย ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบยอดเงินดังกล่าว และสัญญาไม่มีข้อตกลงให้ใช้ราคารถกรณีนี้ จึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ พิพากษา ยืน

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4340/2559

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง

พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "ข้อตกลงในสัญญาระหว่าง ผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ หรือในสัญญาสำเร็จรูป หรือในสัญญาขายฝากที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจ การค้าหรือวิชาชีพ หรือผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป หรือผู้ซื้อฝากได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร เป็นข้อ สัญญาที่ไม่เป็นธรรมและให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น" เมื่อพิจารณาข้อตกลง ตามสัญญาเช่าซื้อที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้ผู้ให้เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หาก ไม่อาจส่งมอบคืนได้ ผู้เช่าซื้อต้องชดใช้ราคาแทนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของราคาเช่าซื้อ ในกรณีที่สัญญาเช่าซื้อเลิก กันไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ จึงย่อมหมายความรวมถึงผู้เช่าซื้อต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อที่จะต้องคืนหรือใช้ราคารถในกรณีที่ สัญญาเช่าซื้อเลิกกันด้วยเหตุที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายด้วย สัญญาข้อดังกล่าวกำหนดบังคับให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดใช้ ค่าเสียหายแก่เจ้าของทรัพย์โดยเด็ดขาดทุกกรณี โดยไม่ได้แบ่งแยกความรับผิดกรณีเป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ และ กรณีไม่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อไว้ต่างหากจากกัน จึงเป็นการได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร ดังนี้ ข้อ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม แต่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ไม่ได้กำหนดให้ข้อตกลงในสัญญาที่ทำให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควรเป็น โมฆะ เพียงแต่ให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควร ข้อสัญญาดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ เพียงแต่ศาล มีอำนาจกำหนดให้ผู้เช่าซื้อชดใช้ราคาแทนเป็นจำนวนพอสมควรได้

         หมายเหตุ ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดใหม่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เนื่องจาก สัญญาเดิมสูงเกินไป: สัญญาเช่าซื้อข้อ 14.1 ระบุให้จ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของราคาเช่าซื้อ (ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกมา 480,000 บาท) ศาลมองว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและสูงเกินควร สาเหตุที่ลดยอดเงิน: รถยนต์สูญหายโดย ไม่ใช่ความผิดของจำเลย ประกอบกับจำเลยได้ผ่อนชำระค่างวดมาแล้วบางส่วน (รวม 104,177.60 บาท) ศาลจึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายที่ต้องจ่ายเพิ่มเพียง 104,000 บาท เท่านั้น

 

สรุปฎีกาที่ 855/2567 และฎีกาที่ 4340/2559

แม้ทั้งสองคดีจะมีข้อเท็จจริงตั้งต้นเหมือนกันคือ รถเช่าซื้อสูญหายโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ แต่ผลแห่งคดีกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย "เงื่อนไขในสัญญา" โดยใน ฎีกาที่ 855/2567 ศาลพิพากษา ยกฟ้อง (จำเลยไม่ต้องจ่าย) เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อระบุเงื่อนไขจำกัดความรับผิดไว้ชัดเจนว่า หากรถหายโดยผู้เช่าซื้อไม่ผิด ให้รับผิดเพียงเบี้ยปรับหรือค่าธรรมเนียมเท่านั้น เมื่อโจทก์กลับฟ้องเรียกร้อง "ราคารถ" ซึ่งขัดต่อสัญญาและไม่ได้นำสืบยอดค่าธรรมเนียม ศาลจึงไม่อาจบังคับให้ได้ ในขณะที่ ฎีกาที่ 4340/2559 สัญญากำหนดมัดมัดมือชกให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชดใช้ราคาเต็มจำนวน "ในทุกกรณี" แม้จะไม่ใช่ฝ่ายผิด ศาลวินิจฉัยว่าเป็น ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 ที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจได้เปรียบเกินสมควร ศาลจึงปรับลดค่าเสียหายลง จากยอดที่ฟ้องร้องให้เหลือเพียงจำนวนที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่กรณีเท่านั้น

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2559

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง; ป.พ.พ.มาตรา 879

พฤติกรรมของโจทก์ที่จอดรถโดยติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้แล้วลงจากรถไปซื้อของห่างจากจุดซื้อของประมาณ 2 เมตร และต้องใช้เวลารอประมาณ 10 นาที แม้จะห่างจากรถไม่มาก แต่ไม่ได้ยืนอยู่ใกล้รถพอที่จะป้องกันรถได้ ในระหว่างที่รอนี้มีผู้ร้ายได้ลักรถยนต์ไป หากโจทก์ดับเครื่องยนต์และล็อกประตูรถยนต์ให้เรียบร้อยแล้วเชื่อว่าคนร้ายไม่สามารถลักรถยนต์ของโจทก์ไปได้โดยง่าย เป็นการขาดความระมัดระวังในการใช้ทรัพย์ หากโจทก์ใช้ความระมัดระวังตามสมควรโดยดับเครื่องยนต์และล็อคประตูรถยนต์ให้เรียบร้อยแล้วเชื่อว่าคนร้ายไม่สามารถลักรถยนต์ของโจทก์ไปได้โดยง่าย เหตุที่คนร้ายลักรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดในความสูญหายของรถยนต์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 879 วรรคหนึ่ง

 

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า