ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 326
ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม
โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หมายเหตุ
ฎีกาที่ 3920/2562
ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่
ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป
เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวถึงนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทซึ่งเป็นทนายความน่าจะเสียชื่อเสียง
บุคคลอื่นดูหมิ่น เกลียดชังหรือไม่ มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว
ฎีกาที่ 6593/2559
ความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 326 ไม่ใช่ความผิดที่มีผลเกิดขึ้นต่างหากจากการกระทำ
เมื่อจำเลยพูดให้สัมภาษณ์นักข่าว
การกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นความผิดย่อมสำเร็จ
เมื่อนักข่าวซึ่งเป็นบุคคลที่สามทราบข้อความแล้ว
โดยคนที่ถูกหมิ่นประมาทไม่ต้องรู้ว่าตนเองถูกหมิ่นประมาท
ฎีกาที่ 3252/2543 คำว่า “ใส่ความ”
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ไม่ได้นิยามศัพท์ไว้ว่ามีความหมายว่าอย่างไร
แต่ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า หมายถึงพูดหาเหตุร้าย
กล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ฎีกาที่ 2180/2531
การที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น
จะต้องเป็นการใส่ความผู้อื่นโดยยืนยันข้อเท็จจริงที่ใส่ความนั้นต่อบุคคลที่สามและการใส่ความนั้นน่าจะทำให้ผู้อื่นที่ถูกใส่ความเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น
หรือถูกเกลียดชัง
ฎีกาที่ 1033/2533
การใส่ความตาม ป.อ. มาตรา 326 ผู้กระทำต้องมีเจตนาใส่ความผู้อื่น
ข้อที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัว
โจทก์ในคดีอาญาอื่นเป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน
ไม่ใช่ข้อที่จำเลยประสบมาด้วยตนเอง
ส่วนข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ไม่ทราบ
การเบิกความของจำเลย จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้นจำเลยหาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่น
ถูกเกลียดชังแต่อย่างใดไม่ จึงไม่เป็นความผิดตาม มาตรานี้
ฎีกาที่ 5080/2531
จำเลยพูดให้ ก. ฟังว่า โจทก์ไม่สนใจทำงาน
ทำงานไม่มีความรับผิดชอบทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ทางราชการ ถ้า
ก.อยากจะรับราชการต่อไป อย่าทำตัวเหมือนโจทก์
ดังนี้อาจทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้จึงมีมูลในความผิดฐานหมิ่นประมาท
ฎีกาที่ 2371/2522
ผลของการใส่ความผู้อื่นน่าจะทำให้เขาเสียชื่อเสียง
ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่นั้นศาลมีอำนาจวินิจฉัยเองได้ไม่จำต้องอาศัยคำเบิกความของพยาน
ฎีกาที่ 3920/2562 ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่
ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป
เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวถึงนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทซึ่งเป็นทนายความน่าจะเสียชื่อเสียง
บุคคลอื่นดูหมิ่น เกลียดชังหรือไม่ มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว
ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวว่า “เอาทนายเฮงซวยที่ไหนมา สถุล” นั้น
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายของคำว่า “เฮงซวย” ว่า
เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี เช่น คนเฮงซวย ของเฮงซวย เรื่องเฮงซวย
ส่วนคำว่า “สถุล” ให้ความหมายว่า หยาบ ต่ำช้า เลวทราม (ใช้เป็นคำด่า) เช่น เลวสถุล
เช่นนี้ แม้ถ้อยคำที่จำเลยด่าโดยการกล่าวว่าทนายเฮงซวย
เป็นเพียงการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทโจทก์
อันเป็นการพูดดูหมิ่นเหยียดหยามให้อับอายเจ็บใจ
แต่ยังไม่เป็นการใส่ความให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังก็ตาม
แต่เมื่อฟังประกอบกับถ้อยคำตอนท้ายว่า “สถุล” แล้ว วิญญูชนทั่วไปจึงอาจเข้าใจว่า
โจทก์ซึ่งเป็นทนายความเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดีและเป็นไปในทางหยาบ
ต่ำช้า เลวทราม ถ้อยคำดังกล่าวจึงอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง
ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันอาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้
