การที่ผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากทำสัญญาเช่าใหม่ถือเป็นการจัดการมรดกที่ชอบด้วย
ป.พ.พ. มาตรา 1719 โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองต่อโดยไม่ผิดสัญญา
ศาลฎีกาจึงเพิกถอนหมายบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 ส่วนการร้องสอดตามมาตรา
57(3) นั้น กฎหมายบังคับให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อไต่สวน
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับคำร้องเองจึงเป็นการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาฎีกาที่
3001/2568
แม้ข้อตกลงตามคำพิพากษาตามยอมในชั้นศาลอุทธรณ์ที่จำเลยยินยอมให้โจทก์เช่าที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกจะครบกำหนดเวลาเช่าแล้ว
แต่ผู้ร้องสอดทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากจากจำนวนผู้จัดการมรดกในปัจจุบันซึ่งมี
3
คน คือผู้ร้องสอดทั้งสองและจำเลย
ทำสัญญาให้โจทก์เช่าที่ดินฉบับใหม่ต่อไปอีก 3 ปี
เพื่อนำผลประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินแบ่งปันแก่ทายาทของผู้ตาย
นับว่าเป็นการจัดการมรดกโดยทั่วไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719
โจทก์อยู่ในที่ดินพิพาทต่อมาโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ภายหลังสิทธิการเช่าตามคำพิพากษาตามยอมและข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความสิ้นสุดลงแล้ว
เป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว
ไม่อาจถือว่าโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมได้
จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขอให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับตามยอมขับไล่โจทก์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 มาตรา
275 และมาตรา 276 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการบกพร่องผิดพลาด
ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดีและการบังคับคดีเสียได้ตามมาตรา 295
การร้องสอดกรณีตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีซึ่งก็คือศาลชั้นต้น
และศาลชั้นต้นต้องไต่สวนและมีคำสั่งตามคำร้องสอดของผู้ร้องทั้งสอง
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดทั้งสองเข้าเป็นคู่ความโดยการร้องสอดแทนศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ
แต่เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิดำเนินการบังคับดีย่อมไม่เป็นประโยชน์ที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำสั่งใหม่
ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ผู้ร้องสอดไปว่ากล่าวต่างหากจากคดีนี้
ถาม-ตอบ ตามหลักกฎหมายจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่
3001/2568
ข้อ 1:
อำนาจผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากในการทำสัญญาเช่า
ถาม:
หากผู้จัดการมรดกมี 3 คน แต่มีเพียง 2 คน (เสียงข้างมาก)
ที่ตกลงทำสัญญาให้บุคคลภายนอกเช่าที่ดินมรดกเพื่อหารายได้ โดยที่อีก 1 คน (เสียงข้างน้อย) ไม่ยินยอม สัญญาเช่านั้นมีผลผูกพันกองมรดกหรือไม่?
ตอบ:
มีผลผูกพัน เพราะการนำที่ดินมรดกออกให้เช่าเพื่อนำผลประโยชน์มาแบ่งปันแก่ทายาท
ถือเป็นการ "จัดการมรดกโดยทั่วไป" ตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1719 ซึ่งผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากสามารถกระทำได้
ข้อ 2:
ผลของสัญญาเช่าใหม่ต่อการบังคับคดีขับไล่
ถาม:
หากลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม (ผู้เช่าเดิม)
ได้ทำสัญญาเช่าฉบับใหม่กับผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากก่อนที่สัญญาเดิมจะสิ้นสุดลง
เมื่อครบกำหนดสัญญาเดิม
เจ้าหนี้สามารถขอออกหมายบังคับคดีขับไล่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับเก่าได้หรือไม่?
ตอบ:
ไม่ได้ เพราะเมื่อลูกหนี้ครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิตาม
"สัญญาเช่าฉบับใหม่" ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ถือว่าลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาและไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิอ้างสัญญาเดิมเพื่อขอออกหมายบังคับคดีขับไล่อีกต่อไป
หากศาลเผลอออกหมายไป ศาลฎีกามีอำนาจเพิกถอนหมายนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295
ข้อ 3:
เขตอำนาจศาลในการสั่งคำร้องสอดชั้นบังคับคดี
ถาม:
กรณีผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดในชั้นบังคับคดีต่อศาลชั้นต้น
และศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนจนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ ไม่ได้มีคำสั่ง อนุญาตหรือยกคำร้องสอดในขณะนั้น
โดยสั่งเพียงว่าคดีเสร็จการไต่สวนแล้วรวบรวมสำนวนส่งไปยังศาลอุทธรณ์
ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทน
การดำเนินกระบวนพิจารณาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
ตอบ: ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการร้องสอดกรณีมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) บัญญัติให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี (ศาลชั้นต้น) ซึ่งศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องไต่สวน และมีคำสั่ง เกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวด้วยตนเอง การที่ศาลอุทธรณ์ทำคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความเสียเอง แทน ศาลชั้นต้น จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
