ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑ ในประมวลกฎหมายนี้
ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(๓) “คำฟ้อง” หมายความว่า
กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาลไม่ว่าจะได้เสนอด้วยวาจาหรือทำเป็นหนังสือ
ไม่ว่าจะได้เสนอต่อศาลชั้นต้น หรือชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา
ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดีโดยคำฟ้องหรือคำร้องขอหรือเสนอในภายหลังโดยคำฟ้องเพิ่มเติมหรือแก้ไข
หรือฟ้องแย้งหรือโดยสอดเข้ามาในคดีไม่ว่าด้วยสมัครใจ หรือถูกบังคับ หรือโดยมีคำขอให้พิจารณาใหม่
หมายเหตุ
๑.คำฟ้องเป็นการที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาล
หมายถึง
การกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นกล่าวหาจำเลยว่าได้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
อันเป็นการโต้แย้สิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งและขอบังคับให้จำเลยกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งที่โจทก์มีสิทธิบังคับได้
๒.คำฟ้องในขณะเริ่มต้นคดี
๒.๑ คำฟ้องคดีมีข้อพิพาท
๒.๒
คำร้องขอคดีไม่มีข้อพิพาท ตามมาตรา ๑๘๘(๑)
เช่น คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
๓.คำฟ้องที่เสนอภายหลังหรือระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น
๓.๑
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง ตามมาตรา ๑๗๙ และมาตรา ๑๘๐
๓.๒
ฟ้องแย้ง
คือคำฟ้องที่เกิดจากจำเลยทำคำให้การและเสนอข้อหาให้บังคับโจทก์มาในคำให้การในเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมตามมาตรา
๑๗๗ วรรคสาม
๓.๓
คำร้องสอด
๔.คำฟ้องที่เสนอต่อศาลชั้นต้นภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี
๔.๑
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตามมาตรา ๒๐๗
๔.๒
คำฟ้องอุทธรณ์ คำฟ้องฎีกา
๔.๓
คำร้องขัดทรัพย์ ตามมาตรา ๓๒๓
๔.๔
คำร้องขอรับชำระหนี้ก่อน ตามมาตรา ๓๒๔
๔.๕
คำร้องสอดในชั้นบังคับคดี
๔.๕.๑
เมื่อการบังคับคดีมีผลทำให้บุคคลภายนอกเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่
บุคคลภายนอกชอบที่จะร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีได้ตามมาตรา ๕๗ (๑)
โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่หรือรอให้มีการบังคับคดีเสียก่อน(ฎีกาที่ ๓๗๗๖/๒๕๓๔
(ประชุมใหญ่), ๑๐๓๑/๒๕๓๗ และ ๒๕๙๑/๒๕๕๔)
อ้างอิง
สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา. รวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ ๗๒
ปีการศึกษา ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓.
0 Comments
แสดงความคิดเห็น