คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๙๐/๒๕๖๓ 


               ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายที่ ๑ มาเบิกความ เป็นพยาน คงมีเพียงบันทึกคำให้การของผู้เสียหายที่ ๑ ที่ให้การยืนยันถึงตัวคนร้ายที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา และชี้ภาพถ่ายว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๑ เป็นคนสุดท้าย อันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗/๑ ก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ ๑ รับหมายเรียกให้มาเป็นพยานที่ศาล เมื่อถึงวันนัดกลับไม่มาและไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับเพื่อเอาตัวมาเป็นพยาน แต่ไม่ได้ตัวมาจนต้องงดสืบพยาน พฤติการณ์ในการหลบหนีและไม่ยอมมาเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหายที่ ๑ จึงมีเหตุจำเป็น และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๓ วรรคสอง (๒) และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๑ ที่เบิกความไว้ในคดีอาญาของศาลชั้นต้นที่พวกจำเลยถูกฟ้องเป็นจำเลย ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๕

 

เพิ่มเติม

               ฎีกาที่ ๓๕๐๖/๒๕๖๒ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๖/๕ บัญญัติว่าในชั้นพิจารณาหากมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควร ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือบันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่น ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่นมาประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ เฉพาะกรณีที่มีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควร

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

               มาตรา ๒๒๖/๕ ในชั้นพิจารณาหากมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควร ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือบันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่นประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้