คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๖๕/๒๕๖๒ 

               หนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือรับผิดมีข้อความว่าบิดาจำเลยกับพวกร่วมกันฉ้อโกงโดยใช้กลอุบายทำให้ได้ทรัพย์สินไปจากโจทก์ และยอมรับชำระหนี้โดยออกเช็คไว้ให้ ซึ่งจำเลยออกเช็คพิพาทให้ไว้แก่โจทก์ แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นหนี้ที่บิดาจำเลยขายลดเช็คให้แก่โจทก์ และจำเลยไม่ได้มีส่วนในการนำเช็คไปขายลดก็ตาม แต่การที่จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือรับผิดโดยยอมร่วมรับผิดที่จะชดใช้หนี้ให้แก่โจทก์และออกเช็คพิพาทให้โจทก์ ถือได้ว่า มีการทำหนังสือรับสภาพหนี้อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายแม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้ก่อหนี้ การที่จำเลยออกเช็คโดยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ที่บิดาจำเลยเป็นหนี้โจทก์ และโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้เพราะบัญชีปิดแล้ว ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ (๑) (๒)(๕)

 

               ตามฎีกานี้ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในหนี้ของบิดาจำเลย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยยอมรับผิดร่วมกับบิดาและออกเช็คเพื่อชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด

 

เพิ่มเติม

               ฎีกาที่ ๑๖๗๗/๒๕๕๗ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการ ใช้เช็ค พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (๑) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้ เงินตามเช็คนั้น...” จะเห็นได้ว่า การกระทำใดจะมีมูลความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะต้องพิจารณาได้ความว่า เป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่ก่อนและหนี้นั้นจะต้องบังคับได้ตาม กฎหมาย เช่น การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง และได้มีการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวนั้น

 

พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการ ใช้เช็ค พ.ศ.๒๕๓๔

               มาตรา ๔ ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

               (๑) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น

               (๒) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้

               (๓) ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น

               (๔) ถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้

               (๕) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต

               เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ