กฎหมายไม่ได้บังคับให้ศาลต้องหักวันคุมขังออกจากโทษจำคุกเสมอไป ศาลมี "ดุลพินิจ" ที่จะพิจารณาว่าควรหักหรือไม่ หากศาลเห็นว่าไม่สมควรหัก (เช่น กรณีขังซ้อน) ศาลต้องระบุเหตุผลไว้ในคำพิพากษาให้ชัดเจน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
4451
- 4453/2564
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง;
ป.อ. มาตรา 22
ป.อ.
มาตรา 22
วรรคแรก
ไม่ได้บัญญัติให้ศาลต้องหักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาเสมอไป
ศาลมีดุลพินิจที่จะพิจารณาว่าสมควรหักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกหรือไม่ในแต่ละคดี
เพียงแต่บัญญัติบังคับไว้ว่า หากเห็นว่าไม่สมควรหักก็ให้ศาลกล่าวไว้ในคำพิพากษา
จำเลยที่
8
ถูกขังระหว่างสอบสวนและระหว่างพิจารณาในคดีสำนวนนี้และสำนวนอื่นในเวลาเดียวกันตามหมายขัง
134 คดี เป็นการขังซ้อนกันไป
เมื่อศาลได้หักจำนวนวันที่จำเลยที่ 8 ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกในคดีกลุ่มอื่นแล้ว
การที่จะหักจำนวนวันที่จำเลยที่ 8 ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกในสำนวนนี้อีกจึงเป็นการหักที่ซ้ำซ้อนซึ่งทำให้การบังคับโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เป็นไปตามความจริง
ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจโดยกล่าวไว้ในคำพิพากษาว่า
ไม่หักวันคุมขังคดีนี้ออกจากโทษจำคุกตามคำพิพากษาคดีนี้
เนื่องจากหักวันคุมขังในกลุ่มคดีอื่นที่จำเลยที่ 8 ถูกคุมขังแล้ว
จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีและยุติธรรมดีแล้ว
หลักกฎหมาย
(ป.อ. ม.22): การหักวันคุมขังก่อนมีคำพิพากษาออกจากโทษจำคุกเป็น
"ดุลพินิจ" ของศาล
มิใช่บทบังคับเด็ดขาด หากศาลเห็นว่าไม่สมควรหักก็สามารถทำได้
แต่ต้องระบุเหตุผลไว้ในคำพิพากษาให้ชัดเจน
ข้อเท็จจริง
(ขังซ้อน): จำเลยถูกขังระหว่างพิจารณาในคดีนี้และคดีอื่นพร้อมกัน
(ขังซ้อน) และศาลได้นำวันคุมขังไปหักออกจากโทษจำคุกในคดีกลุ่มอื่นไปแล้ว
หากนำมาหักในคดีนี้อีกจะเป็นการ "หักซ้ำซ้อน"
คำวินิจฉัย:
ศาลมีอำนาจสั่ง "ไม่หักวันคุมขัง"
ในคดีนี้ได้
เพื่อให้การบังคับโทษจำคุกเป็นไปตามความเป็นจริงและไม่เกิดการนับวันคุมขังซ้ำซ้อนกันเกินกว่าระยะเวลาที่จำเลยถูกจำกัดอิสรภาพจริง
