คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6901/2567 ถือเป็นบรรทัดฐานที่น่าสนใจในการตีความ ป.พ.พ. มาตรา 411 ร่วมกับกฎหมายว่าด้วย ตัวแทน ศาลฎีกาได้วางหลักวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายที่สำคัญว่าด้วยสิทธิเรียกร้องของตัวการ ในกรณีที่มอบหมายให้ตัวแทนนำเงินไปปล่อยกู้โดยคิด ดอกเบี้ยเกินอัตรา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ อำนาจฟ้อง ของโจทก์

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6901/2567

               เมื่อโจทก์รับว่าโจทก์มอบหมายให้จำเลยนำเงินไปให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้วนำผลประโยชน์มามอบให้ จำเลยจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในกิจการดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 กรณีเช่นนี้จึงไม่สามารถแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับนิติกรรมกู้ยืมได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยนำไปปล่อยให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411 โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวได้

 

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาตัดสินว่า "โจทก์เรียกเงินคืนไม่ได้" โดยมีเหตุผลดังนี้:

1.         เป็นตัวการตัวแทนกัน: การที่โจทก์ให้เงินจำเลยไปปล่อยกู้ ถือว่าจำเลยเป็น "ตัวแทน" ของโจทก์

2.         วัตถุประสงค์ผิดกฎหมาย: งานที่ใช้ให้ไปทำคือ "ปล่อยกู้ดอกเบี้ยเกินอัตรา" ซึ่งผิดกฎหมาย (พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยฯ)

3.         สัญญาเป็นโมฆะ: นิติกรรมการมอบเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงตกเป็น โมฆะ

4.         เข้าข้อยกเว้น ห้ามเรียกคืน: แม้ปกติสัญญาโมฆะต้องคืนเงินกัน แต่กรณีนี้โจทก์ส่งมอบเงินเพื่อให้จำเลยไปทำเรื่องผิดกฎหมาย (ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรม) จึงเข้าข่าย ป.พ.พ. มาตรา 411