บันทึกสรุปคดีฎีกาที่ 5525/2567: พรากผู้เยาว์
1. สรุปประเด็นหลักของคดี
คดีนี้เป็นคดีความอาญาในข้อหา
"พรากผู้เยาว์" ผู้เสียหายคือเด็กหญิงอายุ 14 ปี (เกิดเดือนตุลาคม 2549) ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะและอยู่ในการดูแลของผู้ปกครอง
จำเลยได้พรากผู้เยาว์ไปจากมารดาและผู้ดูแล
โดยจำเลยได้ชักชวนหรือส่งข้อความทางแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กให้ผู้เยาว์ไปหาที่ห้องพักเพื่อมีเพศสัมพันธ์ด้วย
แม้ผู้เยาว์จะไม่ได้รับอนุญาตหรือยินยอมจากบิดามารดาผู้เสียหาย และผู้เยาว์ยังอยู่ในความดูแลของมารดาซึ่งเป็นผู้ปกครอง
จำเลยได้พาผู้เยาว์เข้าพักในห้องพักด้วยกันโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้กระทำการอันเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากผู้ปกครอง
โดยปราศจากเหตุอันสมควร
2. ข้อเท็จจริงสำคัญ
- ผู้เสียหาย: เด็กหญิงอายุ 14 ปี (เกิด 2 ต.ค. 2549) ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะและอยู่ในการดูแลของผู้ปกครอง
(มารดา)
- จำเลย: ชายหนุ่ม
- พฤติการณ์:จำเลยได้ชักชวนผู้เยาว์ทางเฟซบุ๊กให้ไปหาที่ห้องพักเพื่อมีเพศสัมพันธ์
- จำเลยพาผู้เยาว์เข้าพักในห้องพักของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของผู้เยาว์
- ผู้เยาว์ยังอยู่ในความดูแลและอำนาจปกครองของมารดา
- เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่
10 เมษายน 2564 (ช่วงกลางวัน) และ 16 พฤษภาคม 2564 (ช่วงกลางคืน)
- จำเลยได้พาผู้เยาว์ออกไปจากผู้ปกครองโดยไม่มีเหตุอันสมควร
3. คำวินิจฉัยของศาลในแต่ละชั้น
- ศาลชั้นต้น: พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 318 วรรคหนึ่ง
(พรากผู้เยาว์) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ
(ชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี)
โดยลงโทษจำคุกจำเลย และให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ในการพิจารณา
- ศาลอุทธรณ์: พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 318 วรรคสาม
(พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร) และมาตรา 283 ทวิ
(ชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์)
โดยลงโทษจำคุกจำเลยและยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับสารภาพ
4. ประเด็นปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัย
ประเด็นปัญหาเดียวที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยคือ
"จำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปจากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 318 วรรคสาม หรือไม่"
5. คำวินิจฉัยและเหตุผลของศาลฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า:
- ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้: ผู้เสียหายอายุ 14 ปี
อยู่ในความปกครองดูแลของมารดา
จำเลยและผู้เยาว์รู้จักและพักอาศัยอยู่ในห้องพักด้วยกันสองต่อสอง
โดยห้องพักของจำเลยคือห้องพักหมายเลข ๖ ซึ่งจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย
- การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร:
- การกระทำของจำเลยที่ชักชวนหรือส่งข้อความทางแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กให้ผู้เยาว์ไปหาที่ห้องพักเพื่อมีเพศสัมพันธ์
และพาผู้เยาว์ไปพักที่ห้องพักโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาผู้เสียหาย
ถือว่าเป็นการ "พราก" ผู้เยาว์ไปจากอำนาจปกครองของมารดา
- คำว่า
"พราก"
ไม่จำต้องเป็นการกระทำโดยประทุษร้ายหรือพาผู้เยาว์ออกจากบ้านไปเท่านั้น
แม้ผู้เยาว์จะเต็มใจไปเองหรือสมัครใจไปก็ได้
- เมื่อจำเลยพรากผู้เยาว์ไปแล้วได้พาผู้เยาว์เข้าพักในห้องพักและมีเพศสัมพันธ์กัน
การกระทำนี้จึงเป็นการ "พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร"
- สรุปคำวินิจฉัย: ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม และเห็นพ้องด้วยในเรื่องความผิดตามมาตรา 283 ทวิ
คำคมที่สำคัญ: "การกระทำของจำเลยที่ชักชวนผู้เสียหายหรือส่งข้อความทางแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กให้ผู้เสียหายไปหาที่ห้องพักเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับผู้เสียหาย
เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘
วรรคหนึ่ง" "คำว่าพรากมิใช่ต้องกระทำด้วยกำลังและไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจออกจากบ้านไปเองหรือมีผู้ชักนำก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
แม้จะได้ความว่าจำเลยไม่ได้มีการกระทำอันเป็นการพรากผู้เสียหายออกจากห้องพักโดยตรงก็ตาม"
"จำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปจากผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดาเพื่อการอนาจาร
อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘ วรรคสาม"
6. บทเรียนและสาระสำคัญ
- คดีนี้เน้นย้ำความหมายของการ
"พรากผู้เยาว์"
ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นการบังคับขู่เข็ญหรือใช้กำลังเสมอไป
แต่รวมถึงการชักชวนหรือพาไปโดยที่ผู้เยาว์เต็มใจก็ตาม
ตราบใดที่ยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง และไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง
- การกระทำที่ผู้เยาว์ถูกพาไปเพื่อมีเพศสัมพันธ์
ถือว่าเป็นการ "พรากเพื่ออนาจาร"
ซึ่งมีโทษหนักกว่าการพรากผู้เยาว์ธรรมดา
- บทบัญญัติของกฎหมายมุ่งคุ้มครองผู้เยาว์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจากการถูกพรากไปจากความดูแลของผู้ปกครอง
โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันการละเมิดสิทธิของผู้เยาว์
- เทคโนโลยีและการสื่อสาร
(เช่น เฟซบุ๊ก)
ที่ใช้ในการชักชวนก็เป็นส่วนหนึ่งของพฤติการณ์ในการกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้
0 Comments
แสดงความคิดเห็น