ประเด็นข้อกฎหมาย
1.รถจักรยานยนต์ที่จำเลยใช้ขับในขณะเมาสุราและขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยเพื่อหลบหนีการจับกุม
ถือเป็นทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบหรือไม่?
2. การกระทำความผิดฐาน
"ขับรถในขณะเมาสุรา" และฐาน "ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย"
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน?
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
5035/2560
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
ป.อ. มาตรา 33 (1), มาตรา 46, มาตรา 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, มาตรา 160, มาตรา 160
ตรี
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางในขณะเมาสุรา
และขับรถด้วยความเร็วสูงปาดหน้ารถคันอื่นไปมาบนถนนสาธารณะในลักษณะเปลี่ยนช่องทางเพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ
โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง
รถจักรยานยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ขับในขณะเมาสุราและขับโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น
จึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง อันพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 33
(1)
การที่จำเลยขับรถในขณะเมาสุราและขับรถด้วยความเร็วสูงเปลี่ยนช่องทางไปมาโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
ขณะที่จำเลยยังคงมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 131 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
แสดงว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองฐานในขณะเดียวกันและต่อเนื่องกัน
โดยจำเลยมีเจตนาเดียวคือขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ลงโทษจำเลยในความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรา ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
ซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
และลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดมานั้น เป็นการมิชอบ
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
ถาม - ตอบ
ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
คำถาม:
การขับรถขณะเมาสุราและขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยเพื่อหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจ
ถือเป็นเหตุให้ศาลสั่ง ริบรถของกลาง หรือไม่?
คำตอบ:
ริบได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
รถจักรยานยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ขับในขณะเมาสุราและขับโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ
เพื่อหลบหนีการจับกุม ถือเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แม้จะไม่ปรากฏความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
แต่พฤติการณ์ที่ขับรถด้วยความเร็วสูง ปาดหน้าไปมา ถือเป็นเรื่องร้ายแรงและอุกอาจ
สมควรริบรถของกลาง
คำถาม:
การกระทำความผิดฐาน "ขับรถในขณะเมาสุรา" และฐาน
"ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น"
ในคราวเดียวกัน เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม?
คำตอบ:
เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เนื่องจากจำเลยกระทำผิดทั้งสองฐานในขณะเดียวกันและต่อเนื่องกัน
โดยมีเจตนาเดียวคือขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ
ขณะที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูง จึงต้องลงโทษบทหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 90
(ในคดีนี้บทหนักที่สุดคือ ฐานขับรถในขณะเมาสุรา)
คำถาม:
หากศาลล่างพิพากษาผิดพลาดว่าการกระทำเป็น "หลายกรรม"
แต่จำเลยไม่ได้อุทธรณ์หรือฎีกาในประเด็นนี้ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเองได้หรือไม่?
คำตอบ:
มีอำนาจแก้ไขได้ ปัญหาเรื่องการกระทำเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม
เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา
ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195
วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ 9675/2559 จำเลยดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงสภาพรถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อนำไปสู่การแข่งรถจักรยานยนต์ในทาง
รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการแข่งรถจักรยานยนต์ในทางโดยตรงซึ่งศาลมีอำนาจรับได้
ฎีกาที่ 7110/2559 จำเลยใช้รถบรรทุกลากจูงและรถบรรทุกกึ่งพ่วงของกลางมีน้ำหนักบรรทุกรวมน้ำหนักรถเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ถึง
10,400 กิโลกรัม เพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทางหลวงแผ่นดิน
ทั้งยังมีผลกระทบต่อผู้ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาที่ต้องเสี่ยงต่ออันตรายอันเกิดจากสภาพแห่งท้องถนนที่ได้รับความเสียหาย
ทำให้ยากต่อการควบคุมให้รถแล่นไปได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งอาจมีผลก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นได้ ดังนั้น
รถบรรทุกลากจูงและรถบรรทุกกึ่งพ่วงของกลางซึ่ง ใช้ในการกระทำความผิดจึงเป็นทรัพย์ที่สมควรต้องริบ
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 33 ในการริบทรัพย์สิน
นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย
คือ
(1) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้
หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือ
