คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๔๑/๒๕๖๔ 

                    แม้ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความยืนยันตรงกันว่าจำเลยถืออาวุธปืนยาวลูกซองเดียวเล็งมาทางผู้เสียหายทั้งสอง แต่ไม่มีประจักษ์พยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าจำเลยเหนี่ยวไกปืนเพื่อลั่นกระสุนปืนยิงผู้เสียหายทั้งสอง จึงรับฟังจากคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามไม่ได้ว่าจำเลยเหนี่ยวไกอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวโดยมีเจตนายิงผู้เสียหายทั้งสอง พยานหลักฐานอื่นของโจทก์คงมีเฉพาะรอยเข็มแทงชนวนที่จานท้ายกระสุนปืนที่ตรวจพบในลำกล้องอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวที่จำเลยถืออยู่ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นรอยเข็มแทงชนวนที่จำเลยตั้งใจยิงผู้เสียหายทั้งสองแต่กระสุนด้านไม่ลั่น แต่ตามรายงานการตรวจพิสูจน์แนบบันทึกข้อความที่สถานีตำรวจภูธรตกพรม ส่งอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวและกระสุนปืนลูกซองขนาด ๑๒ โดยกระสุนปืนมีตำหนิรอยเข็มแทงชนวนที่จานท้าย ๒ นัด ไปตรวจพิสูจน์เพื่อทราบว่ากระสุนปืนทั้งสองนัดใช้ยิงมาจากอาวุธปืนยาวลูกซองเดียวดังกล่าวหรือไม่ ผู้ตรวจพิสูจน์ให้ความเห็นตำหนิมีน้อยไม่ชัดเจนพอไม่อาจตรวจพิสูจน์ให้ทราบได้ นอกจากนั้นกระสุนปืนของกลางที่มีรอยเข็มแทงชนวนที่จานท้ายมี ๒ นัด เสดงว่าแม้กระสุนปืนที่ไม่ได้อยู่ในลำกล้องปืนก็มีรอยเข็มแทงชนวนที่จานท้ายได้ จึงไม่แน่ว่ารอยเข็มแทงชนวนที่จานท้ายกระสุนปืนซึ่งพบในลำกล้องปืนยาวลูกซองเดียวเกิดจากจำเลยเหนี่ยวไกเพื่อยิงผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ เมื่อประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากไม่สามารถเบิกความยืนยันได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวยิงผู้เสียหายทั้งสองโดย มีเจตนาฆ่า ลำพังตำหนิรอยเข็มแทงชนวนที่จานท้ายกระสุนปืนจึงมีน้ำหนักน้อยไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของผู้เสียหายทั้งสองโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีและใช้อาวุธปืนยิงเพื่อพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐาน ของจำเลย

 

ข้อเท็จจริง                 

                    ๑. ไม่มีประจักษ์พยานโจทก์ปากใด ยืนยันว่าจำเลยเหนี่ยวไกปืนเพื่อลั่นกระสุนปืนยิงผู้เสียหายทั้งสอง

                    ๒.  พยานโจทก์ทั้งสามอ้างว่า เป็นรอยเข็มแทงชนวนที่จำเลยตั้งใจยิ่งผู้เสียหายทั้งสองแต่กระสุน ด้านไม่ลั่น ผู้ตรวจพิสูจน์ให้ความเห็นรอยตำหนิดังกล่าว มีน้อยไม่ชัดเจนพอจึงไม่อาจตรวจพิสูจน์ให้ทราบได้

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

                    มาตรา ๒๒๗  ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น

                    เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย