น.บุตรของโจทก์ร่วมรักใคร่ชอบพอกับ ช. บุตรชายจำเลยจนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ โจทก์ร่วมและจำเลยได้พิธีมงคลสมรสให้แก่ น. และ ช. ที่บ้านของโจทก์ร่วม โดยฝ่ายจำเลยมอบเงินสด ๒๐๐,๐๐๐ บาท สร้อยคอทองคำ ๕ เส้น สร้อยข้อมือทองคำ ๔ เส้น ที่ฝ่ายจำเลยอ้างว่า มีน้ำหนัก ๙ บาท ให้แก่ฝ่ายโจทก์ร่วม ต่อมาวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ โจทก์ร่วมนำสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์ตามฟ้องไปตรวจสอบพร้อมกับฝ่ายจำเลยที่ร้านทอง ผลการตรวจสอบได้น้ำหนักเพียง ๘.๒๕ บาท จึงเกิดการโต้เถียงกัน ระหว่างนั้น จำเลยหยิบเอาสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำ รวม ๙ เส้น ราคา ๑๙๓,๘๗๕ บาท ที่วางอยู่บนโต๊ะร้านทองไป สร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำจะเป็นสินสอดหรือของหมั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายชายส่งมอบให้แก่ฝ่ายโจทก์ร่วมยึดถือครอบครองอันเป็นการยกให้ในวันพิธีมงคลสมรสแล้ว จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์ตามฟ้อง ดังนี้ หากจำเลยเห็นว่าฝ่ายโจทก์ร่วมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างไร ก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกทรัพย์คืน หามีสิทธิฉกฉวยเอาทรัพย์มาโดยพลการไม่ การที่จำเลยหยิบไปต่อหน้าโจทก์ร่วมขณะโต้เถียงกัน เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง จึงเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖ วรรคแรก

เพิ่มเติม
                แนวคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ ศาลฎีกาไม่ได้ถือเอาคำว่าฉกฉวยเป็นสาระสำคัญ
                ฎีกาที่ ๙๑๙/๒๕๐๓ จำเลยเข้าไปในร้านขอซื้อสุราเจ้าของร้านบอกว่าหมดเวลาแล้วขายไม่ได้ จำเลยพูดว่าไม่ขายก็จะเอาไปกินเฉยๆ จะทำอะไรเขา แล้วจำเลยหยิบขวดสุราออกจากร้านไปด้วย ดังนี้เป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
                ฎีกาที่ ๓๖๒๔/๒๕๓๐ จำเลยขายสร้อยให้ผู้เสียหาย ๔ เส้นในราคา ๑๐๐ บาทเศษ แต่จำเลยกลับหยิบเอาธนบัตรฉบับละ ๕๐๐ บาท จำนวน ๑ ฉบับ จากในกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไปโดยพลการในทันทีที่ผู้เสียหายเปิดกระเป๋าสตางค์ ซึ่งผู้เสียหายยังมิทันได้หยิบธนบัตรดังกล่าวส่งให้จำเลย แล้วจำเลยก็หลบหนีไปเช่นนี้ การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการผิดสัญญาในทางแพ่งหรือเข้าใจผิดเพราะสื่อความหมายกันไม่รู้เรื่องแต่อย่างไร การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าจำเลยจึงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

ประมวลกฎหมายอาญา
                มาตรา ๓๓๖ ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

อ้างอิง
                ศาสตราจารย์พิเศษหม่อมหลวงไกรฤกษ์ เกษมสันต์. หนังสือรวมคำบรรยายสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เล่ม ๑๐ สมัย ๖๙.